Thai SDA Church

Smile to the World and the World will smile back at you.

chapter 2: จุดเริ่มต้นและธรรมชาติของพระคัมภีร์

 

 

บทที่ 2
จุดเริ่มต้นและธรรมชาติของพระคัมภีร์
วันที่ 4 – 10 เมษายน 2020
The Origin and Nature of the

บ่ายวันสะบาโต    10 เมษายน

อ่านข้อพระคัมภีร์สำหรับบทเรียนสัปดาห์นี้ 2 เปโตร 1:19-21; 2 ทิโมธี 3:16, 17; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:18; อพยพ 17:14; ยอห์น 1:14; ฮีบรู 11:3, 6

ข้อควรจำ

“เราขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในท่านที่เชื่อ” (1 เธสะโลนิกา 2:13)

      วิธีที่เรามองเห็นและเข้าใจจุดเริ่มต้นและธรรมชาติของพระคัมภีร์มีผลต่อบทบาทของพระคัมภีร์มีต่อการใช้ชีวิตในโบสถ์และนอกโบสถ์ของเรา วิธีที่เราตีความพระคัมภีร์มีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อการหล่อหลอมชีวิตและความเข้าใจของเราเกี่ยวกับการเปิดเผยและการดลใจของพระเจ้าเมื่อเราต้องการจะเข้าใจพระคัมภีร์อย่างถูกต้อง ก่อนอื่นเราต้องอนุญาตให้พระคัมภีร์กำหนดขอบเขตของตัวแปรพื้นฐานก่อนเราไม่อาจศึกษาวิชาคณิตชีวะสังคมหรือฟิสิกส์โดยใช้เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ในทำนองเดียวกัน ความจริงด้านจิตวิญญาณของพระคัมภีร์จะไม่เป็นที่ยอมรับ และเข้าใจอย่างถูกต้องโดยวิธีของผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ที่เริ่มค้นหาพระคัมภีร์โดยเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีจริง ดังนั้นการตีความพระคัมภีร์ของเราจำเป็นต้องเชื่อว่าพระวจนะในพระคัมภีร์เป็นผลของการทำงานระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ สิ่งจำเป็นเพื่อการตีความพระคัมภีร์ให้ถูกต้อง คือการเข้าถึง

     พระคัมภีร์ด้วยความเชื่อมากกว่าการตั้งข้อสงสัยแล้วค่อยหาคำตอบ สัปดาห์
นี้เราจะหาลักษณะพื้นฐานบางประการเกี่ยวกับ จุดเริ่มต้นและธรรมชาติของ
พระคัมภีร์ ให้เกิดผลดีต่อการตีความหมายและความเข้าใจพระคัมภีร์ของเรา

_______________________________________________

April 5

วันอาทิตย์    การเปิดเผยพระคัมภีร์จากพระเจ้า
                     The Divine Revelation of the Bible

      อ่านพระธรรม 2 เปโตร 1:19-21 ท่านเปโตรแสดงความแน่ใจของท่านเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของข่าวสารแห่งคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์อย่างไร

     พระคัมภีร์ไม่เหมือนหนังสือเล่นอื่น ตามที่อัครทูตเปโตรกล่าวว่า ผู้เผยพระวจนะได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื้อหาหรือข่าวสารจึงมาจากพระเจ้า พวกเขาไม่ได้คิดขึ้นเองเหมือนนักประพันธ์ที่แต่งนิยายหรือนิทาน “ขึ้นอย่างชาญฉลาด” (2 เปโตร 1:16) สรุปคือข่าวสารของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์มีจุดเริ่มต้นมาจากพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงและเชื่อถือได้ “เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความประสงค์ของมนุษย์เลย แต่มนุษย์กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจ
เขา” (2 เปโตร 1:21) พระเจ้าทรงทำงานในขั้นตอนของการเปิดเผย คือทรงแจ้งพระประสงค์ของพระองค์ต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงทรงเลือกสรรไว้อย่างชัดเจน
      การสื่อสารด้วยคำพูดโดยตรงระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์บางคนอย่างเจาะจง เป็นสิ่งที่พบในพระคัมภีร์ นี่เป็นเหตุผลที่พระคัมภีร์มีความเป็นพิเศษเป็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าซึ่งเราจำเป็นต้องถือเป็นปัจจัยสำคัญเมื่อเราตีความหมายของพระคัมภีร์โดยถือว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือพระเจ้าทรงเป็นผู้ประพันธ์พระคัมภีร์ จึงเหมาะสมที่จะเรียกว่า“พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์”(โรม1:2; 2 ทิโมธี 3:15) พระธรรมทั้งหลายที่ได้รวมเล่มเป็นพระคัมภีร์ ทรงประทาน ให้ด้วยพระประสงค์ให้นำไปปฏิบัติ ตามที่เขียนว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับ การดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าวการแก้ไขสิ่งผิด และการอบรมในความชอบธรรม” (2 ทิโมธี 3:16, 17)

      เราต้องการความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการนำคำสอนไปใช้ในชีวิตตามที่พระเจ้าได้ทรงเผยให้ทราบในพระวจนะของพระองค์ ตามที่อัครทูตเปโตรกล่าวว่า การตีความของพระวจนะที่ทรงเปิดเผยให้ทราบ ไม่ใช่เรื่องความคิดเห็นของเราเอง เราต้องการให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเราให้เข้าใจความหมายอย่างถูกต้อง “แท้จริงพระยาห์เวห์องค์เจ้านายไม่ทรงทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่เปิดเผยความลี้ลับให้แก่ผู้รับใช้พระองค์ คือผู้เผยพระวจนะ”(อาโมส 3:7) คำว่า “การเปิดเผย” (Revelation) ในพระคัมภีร์แสดงถึงบางสิ่งที่เมื่อก่อนถูกปิดไว้และบัดนี้ได้เปิดออก ม่านถูกเปิดออกให้เห็นหลังฉากทำให้เห็นชัดเจน ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เราต้องการได้รับการเปิดเผย เพราะเราเป็นคนบาป ถูกแยกออกจากพระเจ้า เราจึงต้องการพึ่งพิงพระเจ้า เพื่อจะทราบถึงน้ำพระทัยของพระองค์
      แม้เราจะเชื่อว่าพระคัมภีร์มีจุดเริ่มต้นจากพระเจ้า แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อฟังพระคัมภีร์ ดังนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นถ้าเราไม่เชื่อว่าพระคัมภีร์มีจุดเริ่มต้นมาจากพระเจ้าจริง

___________________________________________________

 

April 6

วันจันทร์   ขั้นตอนของการดลใจ                                                                        The Process of Inspiration

      เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้ภาษาเป็นสื่อกลางเพื่อเปิดเผยน้ำพระทัยของ
พระองค์แก่มนุษย์ การเปิดเผยของพระเจ้าสามารถเขียนบันทึกไว้ได้ พระคัมภีร์
เป็นผลของการเปิดเผยความจริงของพระเจ้าแก่เราผ่านการทำงานของพระ-
วิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ส่งผ่านและคุ้มครองข่าวสารของพระองค์ผ่านเครื่องมือของ
มนุษย์ นี่เป็นเหตุผลที่เราสามารถคาดหวังความเป็นหนึ่งเดียวของเนื้อหาใน
พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ตั้งแต่ปฐมกาลถึงวิวรณ์ (ยกตัวอย่าง เช่น ปฐมกาล 3:14, 15
กับวิวรณ์ 12:17)

      อ่านพระธรรม 2 เปโตร 1:21; 2 ทิโมธี 3:16, 17 และเฉลยธรรม-บัญญัติ 18:18 ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้พูดเกี่ยวกับการดลใจของพระคัมภีร์อย่างไร

      พระคัมภีร์ทั้งเล่มได้รับการดลใจจากพระเจ้า แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกส่วนหรือ
ทุกตอนที่เราจะนำอ่านและปฏิบัติในปัจจุบันนี้ (ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ว่า
ด้วยพิธีเลี้ยงฉลองของชาวฮีบรูในยุคนั้น) แต่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ทุกส่วนของ
พระคัมภีร์ แม้บางอย่างอาจเข้าใจได้ยาก หรือไม่ใช่เรื่องที่เราจะนำมาใช้ใน
เวลานี้ก็ตาม

      ไม่ใช่ทุกเรื่องในพระคัมภีร์จะเป็นการสื่อสารตรงจากพระเจ้าที่เป็นนิมิตที่เหนือธรรมชาติทั้งหมด บางเรื่องก็เป็นการดลใจให้ผู้เผยพระวจนะสืบค้นสิ่งที่มีอยู่แล้วมาเขียนหรือสอนใหม่ (ดูโยชูวา 10:13; ลูกา 1:1-3) เพื่อสื่อสารข่าวสารของพระองค์

       ถึงกระนั้นก็ยังถือว่า พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลจากพระเจ้าให้เขียนขึ้น (2 ทิโมธี 3:16) นี่คือเหตุผลที่อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “เพราะว่าสิ่งที่เขียนไว้ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อเราจะได้มีความหวังโดยความทรหดอดทน และโดยการหนุนใจจากพระคัมภีร์” (โรม 15:4)

      “พระคัมภีร์ชี้ไปยังพระเจ้าว่าทรงเป็นผู้ประพันธ์ แต่ข้อความเขียนขึ้นด้วยมือมนุษย์ และถูกเขียนขึ้นในหลายรูปแบบตามที่ปรากฏในพระธรรมเล่มต่างๆ ซึ่งบอกถึงลักษณะของผู้เขียนแต่ละคน ที่เขียนความจริงออกมาตามที่

ได้รับการดลใจจากพระเจ้า (2 ทิโมธี 3:16) กระนั้นพวกเขาก็เขียนออกมาเป็น
ถ้อยคำของมนุษย์” (เอลเลน จี. ไว้ท์, สงครามแห่งประวัติศาสตร์, หน้า 7)

     ปัจจุบันมีนักศึกษาพระคัมภีร์บางคนปฏิเสธว่าพระเจ้าเป็นผู้ประพันธ์แต่ละบทในพระคัมภีร์ บางคนถึงขั้นปฏิเสธ การเนรมิตสร้างโลก การเดินทางในพระธรรมอพยพ หรือแม้แต่การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เพราะเหตุใดจึจำเป็นที่เราไม่ควรเปิดประตูให้แก่ความสงสัยเช่นนี้

_______________________________________________

April 7

วันอังคาร           พระวจนะที่ถูกเขียนไว้ 

                                The Written Word of God

      “พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า ‘เจ้าจงเขียนคำเหล่านี้ไว้ เพราะเราทำพันธสัญญาไว้กับเจ้า และกับพวกอิสราเอลตามคำเหล่านี้แล้ว’”(อพยพ 34:27) เพราะเหตุใดองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงให้โมเสสเขียนถ้อยคำเหล่านี้ แทนที่จะเป็นการท่องจำมาพูดเท่านั้น การเขียนมีข้อดีอย่างไร

       พระเจ้าทรงเป็นผู้ตรัสพระวจนะและผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา พระองค์จึงสามารถเลือกคนที่จะสื่อสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผย จึงไม่แปลกใจที่พระเจ้าทรงดลใจให้ผู้เขียนพระคัมภีร์ตั้งแต่ต้นเขียนถึงสิ่งที่พระองค์ประสงค์จะเปิดเผยให้มนุษย์ทราบ

       ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้สอนอะไรเกี่ยวกับพระวจนะที่ถูกเขียนไว้ อย่างไร อพยพ 17:14; 24:4; โยชูวา 24:26; เยเรมีย์ 30:2; วิวรณ์1:11, 19; 21:5; 22:18, 19

       เพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงบัญชาให้เขียนพระคัมภีร์เก็บไว้ คำตอบคือเพื่อไม่ให้เราลืม ถ้อยคำในพระคัมภีร์จะเป็นหลักฐานอ้างอิงได้ตลอด นำเราไปหาพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์ เอกสารที่เขียนไว้โดยปกติจะเก็บรักษาไว้ได้ดีกว่า น่าเชื่อถือมากกว่าข้อความจากปากเปล่า สามารถเข้าถึงคนได้มากกว่าและเราสามารถนำไปอ่านให้ผู้คนได้โดยไม่จำกัดจำนวนคน สถานที่และจำนวนครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่แตกต่างกันแม้แต่ในต่างประเทศ ต่างทวีปก็ทำได้ จึงเท่ากับเป็นการแบ่งปันพระพรได้กับคนหลายรุ่น ในเวลานั้นและในภายหลัง ถ้ามีคนอ่านไม่ออก คนอื่นก็สามารถอ่านให้เขาฟังได้

 _______________________________________________

April 8

พุธ     การเปรียบเทียบพระคริสต์และพระคัมภีร์

                 The Parallel Between Christ and Scripture

      อ่าน ยอห์น 1:14; ยอห์น 2:22; ยอห์น 8:31, 32 และ ยอห์น17:17 มีการเปรียบเทียบพระเยซูและพระวจนะของพระเจ้าที่เขียนไว้ใน
พระคัมภีร์อย่างไร

      มีการเปรียบเทียบระหว่างพระวจนะของพระเจ้าที่กลายเป็นเนื้อหนัง (พระเยซูคริสต์) และพระวจนะที่ถูกเขียนไหว้ (พระคัมภีร์) คือพระเยซูเสด็จมาบังเกิดในครรภ์มารดาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมีนางมารีย์เป็นมารดาพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นจุดเริ่มต้นเหนือธรรมชาติ ทำให้นางมารีย์ที่เป็นมนุษย์ได้ประสูติพระกุมารเยซูที่เป็นมนุษย์ออกมา

      พระเยซูคริสต์ทรงกลายเป็นมนุษย์และต้องการพื้นที่ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ในช่วงเวลาจำเพาะและในสถานที่จำกัด กระนั้นความจริงข้อนี้ไม่ทำให้ความเป็นพระเจ้าของพระองค์เสื่อมคลายไป อีกทั้งไม่ทำให้ความเกี่ยวพันกับประวัติครอบครัวขาดตอนไป พระเยซูทรงเป็นพระผู้ไถ่เพียงองค์เดียวของมนุษย์ทั้งโลกและตลอดไป (ดู กิจการฯ 4:12) ในทำนองเดียวกันพระวจนะที่ถูกเขียนไว้คือพระคัมภีร์ พระเจ้าก็ทรงประทานให้ในเวลาที่เจาะจง และในวัฒนธรรมจำเพาะ เช่นเดียวกับพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ไม่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของเวลาและสถานที่ แต่กระนั้นยังคงผูกพันกับมนุษย์ทั้งโลก

     เมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เอง พระองค์เสด็จลงมาอยู่ระดับเดียวกับมนุษย์ รรมชาติของพระเยซูแสดงให้เห็นในเครื่องหมายทั้งปวงว่าทรงเป็นมนุษย์ ที่เจ็บป่วยอ่อนแอ ได้รับผลจากความเสื่อมทรามของโลกตลอด 4,000 ปีที่ผ่านมา กระนั้นในโลกพระองค์ทรงดำรงชีวิตปราศจากความบาป ที่คล้ายคลึงกัน ภาษาของพระคัมภีร์เป็นภาษาของมนุษย์ ไม่ใช่ “มนุษย์สมบูรณ์แบบเหนือมนุษย์ธรรมดา” ด้านภาษาก็ไม่ทรงใช้ภาษาที่ไม่มีมนุษย์กลุ่มใดพูดกันหรือไม่สามารถเข้าใจได้ ขณะที่แต่ละภาษามีข้อจำกัดของมันเอง พระผู้สร้างมนุษย์ ทรงเป็นผู้สร้างภาษาของมนุษย์ด้วย จึงสามารถสื่อสารน้ำพระทัยกับ
มนุษย์ได้อย่างน่าเชื่อถือ โดยไม่ทรงนำเราไปในทางผิดแน่นอน ในการเปรียบเทียบกอย่างย่อมมีข้อจำกัด พระเยซูคริสต์ และพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนกันทุกอย่าง พระคัมภีร์ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงจุติลงมาเป็น พระเจ้าไม่ใช่หนังสือ (พระธรรม) พระบุตรของพระเจ้าได้กลายเป็นมนุษย์ เรารักพระคัมภีร์เพราะว่าเรานมัสการพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งพระองค์ประกาศพระองค์ผ่านพระ-คัมภีร์

      พระคัมภีร์มีความพิเศษที่กล่าวถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้าและมนุษย์ เอลเลน จี. ไว้ท์ เห็นสิ่งนี้อย่างชัดเจนเมื่อนางเขียนว่า “พระคัมภีร์ที่เป็นสัจจะของพระเจ้านั้นอธิบายด้วยภาษาของมนุษย์ เป็นการรวมกันระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ ลักษณะนี้ปรากฏให้เห็นในธรรมชาติของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นบุตรพระเจ้าและบุตรมนุษย์ ดังนั้นพระคัมภีร์จึงเป็นความจริงเช่นเดียวกับพระคริสต์ที่เป็น “พระวาทะทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนังและทรงอยู่ท่ามกลางเรา” (ยอห์น 1:14) (เอลเลน จี. ไว้ท์, สงครามแห่งประวัติศาสตร์, หน้า 8)

      เพราะเหตุใดเราจึงต้องให้พระคัมภีร์เป็นพื้นฐานความเชื่อของเรา ถ้าไม่มีพระคัมภีร์เราจะอยู่ที่

____________________________________________________________________

April 9

วันพฤหัสบดี   การเข้าใจพระคัมภีร์ด้วยความเชื่อ

                                        Understanding the Bible in Faith

       อ่านพระธรรมฮีบรู 11:3, 6 เพราะเหตุใดความเชื่อจึงมีความจำเป็นมากในการเข้าใจพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ และเพราะเหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยถ้าขาดความเชื่อ

       การนำไปสู่ความจริงทั้งปวงเกิดขึ้นในบริบทของ “ความเชื่อ” สิ่งนี้บอกเป็นนัยเรื่องความเชื่อของเด็กเล็กที่มีต่อพ่อแม่ของเขา ซึ่งทำให้เด็กเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา นี่เป็นความสัมพันธ์ของการไว้วางใจที่นำไปสู่พื้นฐานการเรียนรู้ลักษณะของชีวิตและความรัก ความรู้และความเข้าใจ ดังนั้นการเรียนรู้เพิ่มพูนขึ้นเนื่องจากความรัก ความสัมพันธ์ และความไว้วางใจแบบเดียวกันนักดนตรีฝีมือดีไม่เพียงเรียนรู้เทคนิคที่ทำให้เชี่ยวชาญในการเล่นเครื่องดนตรีเท่านั้น แต่เขารักดนตรี การแต่งเพลง และรักเครื่องดนตรีด้วย ในทำนองเดียวกัน เราจะไม่เข้าใจพระคัมภีร์อย่างถูกต้องเมื่อเราเข้าหาพระคัมภีร์ด้วยท่าทีเคลือบแคลงสงสัยข้อความหรือความเป็นมา แต่ด้วยวิญญาณแห่งความรัก และความเชื่อ อัครทูตเปาโลได้เขียนไว้ว่า “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” (ฮีบรู 11:6) ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะเข้าถึงพระคัมภีร์โดยความเชื่อ ยอมรับว่าพระคัมภีร์มีจุดเริ่มต้นเหนือธรรมชาติ แทนที่จะมองเห็นว่าพระคัมภีร์เป็นเพียงหนังสือเล่มหนึ่งของมนุษย์เท่านั้น

      เซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า พระคัมภีร์มีจุดเริ่มต้นอย่างลึกซึ้ง เพราะมาจากจุดเริ่มต้นที่เหนือธรรมชาติ เป็นพื้นฐานความเชื่อของคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส ตามที่ว่า “พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ เป็นพระวจนะที่ถูกเขียนขึ้นของพระเจ้าด้วยการดลใจผู้เผยพระวจนะให้พูด และเขียนตามที่พวกเขาได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระวจนะนี้พระเจ้าทรงมอบความรู้ที่จำเป็นสำหรับความรอดแก่มนุษย์ พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์มีสิทธิอำนาจสูงสุด เป็นการเปิดเผยน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างไม่ผิดพลาด พระวจนะของพระเจ้าเป็นมาตรฐานแห่งอุปนิสัย เป็นบททดสอบประสบการณ์ เปิดเผยความเชื่อที่น่าไว้วางใจ เป็นบันทึกพระราชกิจที่น่าเชื่อถือของพระเจ้าในประวัติศาสตร์” (สดุดี 119:105; สุภาษิต 30:5, 6; อิสยาห์ 8:20; ยอห์น 17:17; 1 เธสะโลนิกา 2:13; 2 ทิโมธี3:16, 17; ฮีบรู 4:12; 2 เปโตร 1:20, 21)

      อะไรทำให้ผู้คนเข้าใจพระคัมภีร์ผิดไปจากความจริง เพราะขาดความเชื่อใช่หรือไม่ ทำอย่างไรจึงจะรักษาความเชื่อนี้ให้คงอยู่และเพราะเหตุใดความเชื่อจึงจำเป็นต่อการศึกษาพระคัมภีร 

___________________________________________________

April 10

วันศุกร์      ศึกษาเพิ่มเติม:

อ่านจากเอกสารที่ชื่อ 1. Methods of Bible Study 2. Presuppositions Arising From the Claims of Scripture”, part a) Origin, andpart b) Authority. (“Methods of Bible Study”: ซึ่งสามารถพบได้ที่ ww.advenistbiblicalresearch.org/materials/bible-interpretaion–hermeneutics/methods-bible-study)

      พระคัมภีร์มีความจำเป็นต่อเราเหมือนความเชื่อ แต่ความเชื่อเพียงอย่างเดียวจะไม่ลึกซึ้งเพียงพอ ถ้าไม่ได้อิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาช่วยในขณะที่อ่านและศึกษาพระคัมภีร์

      "ในพระวจนะของพระเจ้า พระองค์บอกว่าทรงมอบหมายให้มนุษย์มีความรู้ที่จำป็นสำหรับความรอด มนุษย์จึงต้องรับพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์เหมือนสิทธิอำนาจของพระเจ้า เป็นการเปิดเผยน้ำพระทัยที่ไม่ผิดพลาดของพระองค์ พระคัมภีร์เป็นมาตรฐานของอุปนิสัย เปิดเผยความเชื่อต่างๆ และเป็นบททดสอบของประสบการณ์... กระนั้นความจริงที่พระเจ้าทรงเปิดเผยน้ำพระทัยของพระองค์แก่มนุษย์ผ่านพระวจนะของพระองค์และการเขียนพระวจนะนั้นเกิดขึ้นจากการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นพระคริสต์ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้สถิตอยู่ และนำทางมนุษย์อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันพระผู้ช่วยให้รอดได้ทรงสัญญาจะประทานวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับผู้รับใช้ของพระองค์ขณะที่พวกเขาานพระวจนะ และทรงประทานความเข้าใจเมื่อพวกเขานำคำสอนไปปฏิบัติ เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงเป็นผู้ดลใจให้ผู้เผยพระวจนะเขียนพระคัมภีร์ขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่คำสอนของพระวิญญาณจะขัดแย้งกับพระวจนะที่พระวิญญาณเองเป็นผู้ทรงดลใจให้ผู้เผยพระวจนะเขียนขึ้น” (เอลเลน จี. ไว้ท์, สงครามแห่งประวัติศาสตร์, หน้า 9)

คำถามเพื่อการอภิปราย:

1. เพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงเปิดเผยพระทัยของพระองค์ต่อเรา
และเพราะเหตุใดเราจึงต้องการทราบถึงพระเจ้าและพระทัยของ
พระองค์ด้วย
2. พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์อย่างไร พระองค์ทรงใช้วิธีมากมาย
ผ่านธรรมชาติ และทรงทำในวิธีที่เจาะจงผ่านความผัน (ดาเนียล
7:1) นิมิต (ปฐมกาล 15:1) หมายสำคัญ (1 พงศ์กษัตริย์ 18:24,
38) และพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ (ฮีบรู 1:1, 2)
พระเจ้าเคยเปิดเผยพระองค์แก่คุณเป็นการส่วนตัวหรือไม่ (โปรด
แบ่งปันประสบการณ์)
3. นักศึกษาพระคัมภีร์บางคนปฏิเสธเนื้อหาบางเรื่องในพระคัมภีร์
โดยบอกว่าเป็นอภินิหารเป็นนิยายหรือตำนาน เช่น เรื่องการ
สร้างโลกและอาดัมกับเอวาไม่มีจริง เรื่องในพระธรรมอพยพ และ
เรื่องของดาเนียล เป็นเพียงตัวอย่างจากพระคัมภีร์เดิม เขาเชื่อ
ว่าเรื่องต่างๆ เป็นกุศโลบายด้านจิตวิญญาณเท่านั้น สิ่งนี้เกิด
ขึ้นเมื่อมนุษย์ตัดสินพระวจนะของพระเจ้า และสิ่งนี้สอนเราถึง
อันตรายของการไม่เชื่อพระคัมภีร์อย่างไร
4. พระเจ้าทรงเปิดเผยพระทัยของพระองค์ด้วยสิทธิอำนาจใน
พระคัมภีร์ กระนั้นพระเจ้าทรงประสงค์ให้เราช่วยเผยแพร่พระ-
กิตติคุณแห่งความรอดเหล่านี้ให้ผู้อื่นด้วย เมื่อผู้อื่นดูตัวเราพวก
เขาเห็นพระลักษณะของพระเจ้าแบบใดในตัวเรา

 

<Go to Index Page>

_______________________________________________