Thai SDA Church

Smile to the World and the World will smile back at you.

Chapter 1: ความพิเศษของพระคัมภีร์

                                

                                              คำนำ

 

                                   การตีความหมายพระคัมภีร์

      เซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสเป็นโปรเตสแตนต์ที่เชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นพื้นฐานเพียงหนึ่งเดียวของความเชื่อและหลักคำสอนของเรา สิ่งนี้มีความสัมพันธ์พิเศษกับวาระสุดท้าย ตามที่ เอลเลน จี. ไว้ท์ กล่าวว่าพระเจ้าจะมี “ผู้คนบนแผ่นดินโลกที่ยึดมั่นในพระคัมภีร์ และพระคัมภีร์เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่เป็นมาตรฐานของหลักความเชื่อทั้งมวล และเป็นพื้นฐานของการปฏิรูปทั้งปวง”(สงครามแห่งประวัติศาสตร์, หน้า 595)


      เราไม่ใช่คริสตจักรหนึ่งเดียวท่ามกลางโปรเตสแตนต์ที่อ้างว่า “พระ-คัมภีร์ และพระคัมภีร์เท่านั้น” ที่เป็นพื้นฐานความเชื่อของเรา แม้ว่าหลายคริสตจักรจะอ้างเช่นนั้น ก็ยังมีเชื่อหลายสิ่งที่แตกต่างกัน เช่นเขาเชื่อว่าในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ใช้วันอาทิตย์เป็นวันมัสการแทนวันที่เจ็ดที่เป็นวันสะบาโต บ้างเชื่อว่าจิตวิญญาณไม่มีวันตาย ในนรกมีไฟที่จะเผาไหม้คนบาปตลอดไปไม่มีวันดับ หรือเชื่อว่าพระเยซูจะเด็จกลับมารับคนชอบธรรมไปอย่างลับๆ (secret rapture) และปล่อยให้ทุกคนที่อยู่แวดล้อมเกิดความสนเท่ห์
ว่า บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับพวกเขาอันตรธานไปไหนกัน

      อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า การที่เพียงมีพระคัมภีร์และอ้างว่าเชื่อในพระ-คัมภีร์นั่นเป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งถือว่ามีความสำคัญ แต่พวกเขาอาจจะเป็นผู้ “ทำการแพร่ขยาย” (proliferation) หลักคำสอนเทียมเท็จออกไป (โดยสันนิษฐานว่าทั้งหมดได้รับมาจากข้อพระคัมภีร์) ดังนั้นเราจะต้องทราบว่า จะตีความหมายข้อพระคัมภีร์ได้อย่างถูกต้องเช่นกัน

      การมีพระคัมภีร์และอ้างว่าเชื่อในพระคัมภีร์นั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่พวกเขาก็อาจจะเป็นผู้เผยแพร่คำสอนเทียมเท็จได้ โดยสันนิษฐานว่าคำสอนเหล่านั้นมาจากพระคัมภีร์ ดังนั้นเราจะต้องรู้ว่า จะตีความหมายพระคัมภีร์ให้ถูกต้องได้อย่างไร หัวข้อในไตรมาสนี้คือ “การตีความหมายพระคัมภีร์”เราจะเริ่มด้วยสันนิษฐานว่า พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ที่ “เปิดเผยให้ทราบพระทัยของพระเจ้าอย่างไม่ผิดพลาด” และเป็น “มาตรฐานแห่งอุปนิสัย เป็นข้อทดสอบประสบการณ์ เป็นหลักฐานที่มีอำนาจของหลักความเชื่อ และเป็นบันทึกถึงกิจการที่น่าเชื่อถือของพระเจ้าในประวัติศาสตร์” (“ Seventh-day Adventist Believe..(2 nd ed.) (Nampa: Idaho: Pacific Press ; Pub-lishing Association, 2005, หน้า 11) สรุปสั้นๆ ข้อความจากพระคัมภีร์ไบเบิล เป็นแหล่งพื้นฐานแห่งความจริง ที่เราเชื่อและประกาศเผยแพร่ไปทั่วโลก หรือตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้เองว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิด และการอบรมในความชอบธรรม” (2 ทิโมธี 3:16) คำว่า “พระคัมภีร์ทุกตอน” หมายถึงพระคัมภีร์ทั้งเล่ม แม้แต่ข้อพระคัมภีร์ที่เราไม่ชอบ ที่มีข้อความทำให้เราสะดุด และใช้สำนวนภาษาที่ไม่ดีในด้านการเมือง พระคัมภีร์สอนเราว่า พระคัมภีร์ตีความหมายตัวเองอย่างไรก่อนที่เราจะไปค้นหาคำอธิบายข้อพระคัมภีร์พิเศษ เช่นวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และประวัติศาสตร์ (ซึ่งถ้าใช้อย่างถูกต้อง สามารถเป็นพรได้) เราจะหาการเปิดเผยจากภายในข้อพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เปิดเผยความจริงอันยิ่งใหญ่ เราได้รับการบอกว่า “เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความประสงค์ของมนุษย์เลย แต่มนุษย์กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจเขา” (2 เปโตร 1:21) และเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ที่ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าได้พูดออกมานั้นเป็นกุญแจที่ช่วยเราในการตีความหมายพระวจนะของพระองค์ตัวอย่างการตีความหมายพระคัมภีร์ของอัครทูตเปาโลและผู้เขียนพระกิตติคุณท่านอื่น ถ้าพวกเขาเขียนโดยได้รับการดลใจจากพระเจ้า ก็แน่ใจได้ว่า พวกเขาอ่านและตีความหมายข้อพระคัมภีร์ไปในแนวเดียวกัน ซึ่งช่วยให้เราเรียนรู้ได้ด้วย พระเยซูทรงใช้และตีความหมายข้อพระคัมภีร์อย่างไร เราจะไม่พบตัวอย่างอื่นที่ดีกว่าการอ่านและการตีความหมายข้อพระคัมภีร์ของพระเยซูอีก เราจะดูสมมุติฐานและเหตุผลเกี่ยวกับบริบท ภาษา วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ว่าเป็นอย่างไร เราอ่านและเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เราตีความหมายเรื่องอุปมา คำพยากรณ์ และประวัติศาสตร์ คำสอนรวมไปถึงเพลงสดุดี คำเผยพระวจนะ ทั้งหมดเป็นดุจแสงสีขาวอันเป็นการรวมแสงหลากสีของดวงอาทิตย์ ซึ่งพบในข้อความจากพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม ทั้งหมดนี้จะได้รับการสำรวจในไตรมาสนี้ เพราะว่า “การถูกทรมานในไฟนรกตลอดไปเป็นนิตย์” หรือ “ความศักดิ์สิทธิ์ของวันอาทิตย์” ที่เชื่อว่าเป็นหลักคำสอนที่มีในพระคัมภีร์นั้น เป็นความเข้าใจที่ยังไม่เพียงพอ เราจะต้องเรียนรู้การตีความหมายพระคัมภีร์ด้วยกัน

      ดร. แฟรงค์ เอ็ม. ฮาเซล Ph.D., เป็นรองผู้อำนวยการสถาบันการค้นคว้าทางพระคัมภีร์ (BRI) ที่สำนักงานใหญ่แห่งคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์-แอ๊ดเวนตีส ส่วน ดร.มิคาเอล ฮาเซล Ph.D., เป็นศาสตราจารย์คณะศาสน-ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย เซาเทิร์นแอ๊ดเวนตีส และเป็นผู้อำนวยการของสถาบันและ “พิพิธภัณฑ์โบราณคดี เฮส วู๊ด”

_____________________________________________________

 

LESSON: 1                       วันที่ 28 มีนาคม - 3 เมษายน 2020

ความพิเศษของพระคัมภีร์   

บ่ายวันสะบาโต

อ่านข้อพระคัมภีร์สำหรับบทเรียนสัปดาห์นี้

เฉลยธรรมบัญญัติ 32:45-47; ปฐมกาล 49:8-12; อิสยาห์ 53:3-7; 1 โครินธ์ 15:3-5, 51-55; โรม 12:2

ข้อควรจำ      “พระวจนะของพระองค์เป็นตะเกียงแก่เท้าของข้า พระองค์ และเป็นความสว่างแก่ทางของข้าพระองค์” (สดุดี 119:105)


           พระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสือ 66 เล่ม ใช้เวลาเขียนนานกว่า 1,500 ปีในพื้นที่สามทวีป (เอเชีย แอฟริกา และยุโรป) โดย ผู้เขียน 40 พระคัมภีร์มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากหนังสืออื่น จึงไม่มีข้อกังขาเลยว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า มีต้นฉบับมากกว่า 24,600ชิ้นของพระคัมภีร์ใหม่ที่เขียนด้วยมือซึ่งเหลืออยู่ จากศตวรรษที่สี่หลังพระคริสต์ตัวอย่างเช่นต้นฉบับดั้งเดิมของเพลโต ซึ่งมีเจ็ดชิ้น ต้นฉบับของเฮโรโดตัสที่มีแปดชิ้น และบทร้อยกรองภาษากรีกโบราณของโฮเมอร์ ยังเหลืออยู่ 263 ชิ้นดังนั้นเรามีหลักฐานอันทรงพลังยืนยันถึงความจริง เปี่ยมด้วยคุณธรรม ความ สัตย์ซื่อ ความมั่นคง ความสมบูรณ์ พระคัมภีร์เป็นหนังสือเล่มแรกที่ได้รับการแปลและพิมพ์ในโลกตะวันตก เป็นหนังสือเล่มแรกที่ถูกแปลเป็นภาษาต่างๆมากกว่าหนังสือทุกเล่ม และมีการจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันพระคัมภีร์ ถูกแปลออกไปหลายร้อยภาษา จนประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกสามารถอ่านพระคัมภีร์เป็นภาษาของตนเอง

            พระคัมภีร์มีความเป็นพิเศษในเนื้อหาและข่าวสาร โดยมุ่งหมายไปยัง กิจกรรมการไถ่ให้รอดของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มประวัติศาสตร์ ซึ่งประวัติศาสตร์
ประสานกัน (intertwined) กับคำพยากรณ์ ทำหน้าที่ทำนายอนาคตแห่งแผนการของพระเจ้า และอาณาจักรที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ พระคัมภีร์บันทึก “พระ-ดำรัสอันมีชีวิตอยู่ของพระเจ้า” เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นผู้ทรงดลใจให้ผู้เผยพระวจนะเป็นผู้เขียนถ้อยคำเหล่านั้น (2 ทิโมธี 3:16, 17)พระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกัน ทรงสัญญากับเหล่าผู้เชื่อทั้งหลายในปัจจุบันว่าเมื่อเราศึกษาพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จะทรงนำไปสู่ความจริงทั้งมวล (ยอห์น 14:16, 17; ยอห์น 15:26; ยอห์น 16:13)

 

_____________________________________________________


Sunday March 29

วันอาทิตย์   

พระวจนะที่มีชีวิตของพระเจ้า
The Living Word of God

     ข้อความที่สำคัญที่สุดบ่อยครั้งคือ ข้อความสุดท้ายที่คนกล่าวออกมาเช่นถ้อยคำสุดท้ายของโมเสส ผู้เขียนพระธรรมห้าเล่มแรกที่เป็นพื้นฐานของ พระคัมภีร์ หรือเพลงสุดท้ายที่บุคคลหนึ่งร้องออกมาให้ก่อนจะสิ้นลมหายใจ(เฉลยธรรมบัญญัติ 31:30-32:43

      อ่านเฉลยธรรมบัญญัติ 32:45-47 โมเสสบรยายถึงพระวจนะของพระเจ้าและอำนาจของพระวจนะในชีวิตของชาวฮีบรู ขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าไปในแผ่นดินแห่งคำสัญญาอย่างไร

      ข้อความสุดท้ายของโมเสสคือการตักเตือนชาวอิสราเอลให้มีใจมั่นคงต่อพระดำรัสของพระเจ้า ที่ทรงตรัสกับพวกเขา ท่านย้ำให้ชาวอิสราเอลมุ่งไปที่พระเจ้า และน้ำพระทัยของพระองค์สำหรับชีวิตของพวกเขา โดยสอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของพวกเขา ด้วยการส่งต่อพันธสัญญาเรื่องแผนการแห่ง ความรอดของพระเจ้าจากผู้คนรุ่นสู่รุ่น พวกเขาต้องไม่เลือกที่จะเชื่อฟังบางอย่างและละทิ้งบางอย่าง แต่ต้อง “ทำตามถ้อยคำทั้งหมดของธรรมบัญญัติ” (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:46)

       ตอนสุดท้ายของประวัติศาสตร์โลก จะมีประชากรของพระเจ้าที่ยังคง สัตย์ซื่อต่อพระคัมภีร์ทั้งเล่ม คือ “ธรรมิกชน ที่ถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าและจงรักภักดีต่อพระเยซู” (วิวรณ์ 14:12) คนเหล่านี้จะคงความสัตย์ซื่อต่อคำ สอนของพระคัมภีร์ ซึ่งไม่เพียงจะทำให้มั่นใจได้ว่าชีวิตของพวกเขาจะได้รับพระพรบนแผ่นดินโลกตอนสุดท้ายเท่านั้น แต่พวกเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระนิเวศของพระบิดาที่พระเยซูทรงจัดเตรียมไว้ด้วย (ยอห์น 14:1-3)


     อ่านยอห์น 1:1-5, 14; ยอห์น 14:6 ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้สอนอะไรเกี่ยวกับพระเยซู และชีวิตนิรันดร์ คำว่า “พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” เกี่ยวกับการเปิดเผยและการดลใจของพระคัมภีร์อย่างไร


     พระเยซูทรงเป็นจุดเน้นและเป็นเป้าหมายของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม การที่ทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนังในฐานะพระเมสสิยาห์ เป็นการทำให้พระสัญญาในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จสมจริง เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์ สิ้นพระชนม์ และทรงฟื้นพระชนม์ เราไม่เพียงได้รับการยืนยันว่าพระคัมภีร์กล่าวไว้จริงทุกอย่างแต่พระสัญญาแห่งชีวิตชั่วนิรันดร์อันยิ่งใหญ่อยู่ในชีวิตใหม่ทั้งหมด

       อ่านเฉลยธรรมบัญญัติ 32:47 คุณมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นสิ่งที่ไม่ไร้ค่าหรือไม่ เพราะเหตุใด

----------------------------------------------------------

Monday    March 30

วันจันทร์  ผู้เขียนและสถานที่เขียนพระคัมภีร์

                      Who Wrote the Bible, and Where


      การมีผู้ประพันธ์หลากหลาย ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แตกต่างกัน และมีพื้นฐานชีวิตที่ต่างกัน ถือว่าเป็นความพิเศษที่พระเจ้าทรงทำการสื่อสารผ่านประวัติศาสตร์ และทรงส่งข่าวถึงประชากรของพระองค์ ผ่านความแตกต่างในด้านวัฒนธรรมถึงกลุ่มเป้าหมายที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้


      ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้บอกอะไรเราเกี่ยวกับ ผู้เขียนพระคัมภีร์ และเบื้องหลังชีวิตของพวกเขา (อพยพ 2:10; อาโมส 7:14; เยเรมีย์ 1:1-6; ดาเนียล 6:1-5; มัทธิว 9:9; ฟีลิปปี 3:3-6; วิวรณ์ 1:9)

     พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นโดยบุคคลหลากหลายพื้นฐาน และอาศัยอยู่ในสถานการณ์แตกต่างกัน บางคนเขียนจากพระราชวัง บางคนเขียนจากเรือนจำบางคนเขียนขณะที่เป็นคนพลัดถิ่นในต่างแดน บางคนเขียนขณะเป็นมิชชัน-นารีเดินทางไปประกาศพระกิตติคุณ บางคนเช่นโมเสสถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าให้เป็นกษัตริย์ ดาเนียลมีตำแหน่งสูง ผู้เขียนพระคัมภีร์คนอื่นๆ อาจเป็นสามัญชน เช่นคนเลี้ยงแกะ บางคนยังหนุ่มแน่น แต่บางคนมีอายุมากแล้วแม้ว่าผู้เขียนพระคัมภีร์เหล่านี้จะมีความแตกต่าง แต่พวกเขามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขาถูกเรียกโดยพระเจ้า และต่างก็ได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เขียนข่าวสารสำหรับประชากรของพระองค์ โดยไม่เลือกว่าเมื่อไรหรือที่ไหนที่พวกเขาอาศัยอยู่ ผู้เขียนบางท่านเขียนเล่าจากเหตุการณ์ที่ได้เห็นด้วยสายตาของตนเอง บางท่านใช้เวลาค้นหาข้อมูลก่อนเขียน (โยชูวา 10:13;ลูกา 1:1-3) แต่ทุกส่วนของพระคัมภีร์ได้รับการดลใจให้เขียนขึ้น (2 ทิโมธี3:16) ด้วยเหตุนี้เอง อัครทูตเปาโลได้กล่าวว่า “เพราะว่าสิ่งที่เขียนไว้ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อเราจะได้มีความหวังโดยความทรหดอดทน และโดยการหนุนใจจากพระคัมภีร์” (โรม 15:4) พระเจ้าผู้ทรงสร้างภาษาของมนุษย์ทรงสามารถเลือกบุคคลที่จะสื่อสาร และดลใจให้ถ้อยคำของพวกเขาเชื่อถือได้ “พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะสื่อสารความจริงของพระองค์แก่โลกผ่านมนุษย์ที่เป็นตัวแทนของพระองค์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ทำให้มนุษย์มีคุณสมบัติในการทำงานของพระองค์ ทรงนำจิตใจในการเลือกถ้อยคำที่พูด และสิ่งที่จะเขียนออกมา สิ่งที่ล้ำค่า ถูกมอบความไว้วางใจให้กับภาชนะดิน กระนั้นไม่สิ่งใดที่ไร้ค่า เพราะเป็นสิ่งที่มาจากเบื้องบน”(เอลเลน จี. ไว้ท์, Selected Messages, เล่ม 1, หน้า 26)


            มีผู้ประพันธ์แตกต่างกันหลายคนและมีความเป็นมาของเนื้อหาแตกต่างกัน แต่พระเจ้าองค์เดียวทรงเป็นผู้เปิดเผยไห้พวกเขาทราบนี่เป็นความจริงที่น่าทึ่งที่ทำให้เรามั่นใจถึงความจริงของพระวจนะ

____________________________________________________________________________

Tuesday 31

วันอังคาร  พระคัมภีร์เป็นคำพยากรณ์ 

                       The Bible as Prophecy

          พระคัมภีร์มีความพิเศษแตกต่างจากหนังสือศาสนาอื่นๆ เพราะเนื้อหา30 เปอร์เซ็นต์เป็นคำพยากรณ์ และวรรณคดีในรูปคำพยากรณ์ ที่สำเร็จสมจริง ตามเวลา พระเจ้าทรงดำเนินการในประวัติศาสตร์ และบอกให้ทราบถึงอนาคตพระองค์ทรงเปิดเผยแก่ประชากรของพระองค์เสมอ ดังที่พระวจนะกล่าวว่า“แท้จริงพระยาห์เวห์องค์เจ้านายไม่ทรงทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยไม่เปิดเผยความลี้ลับ” (อาโมส 3:7) พระคัมภีร์ไม่เป็นเพียงพระวจนะที่มีชีวิตอยู่ หรือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นคำพยากรณ์ด้วย

         ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้เปิดเผยรายละเอียดถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์อย่างไร ปฐมกาล 49:8-12; สดุดี 22:12-18;                                                                                                              อิสยาห์ 53:3-7; ดาเนียล 9:24; มีคา 5:2; มาลาคี 3:1; เศคาริยาห์ 9:9

          มีคำทำนายในพระคัมภีร์เดิมเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์โดยตรง 65 ทีและยังพบได้อีกถ้าเราเพิ่มความหมายที่ได้จากการศึกษาสัญลักษณ์ของพิธิต่างของการถวายบูชาหรือคำพยากรณ์เล็กๆ น้อยๆ ของพระเยซู เช่น “คทาจะไม่ขาดไปจากยูดาห์” (ปฐมกาล 49:10) และ “พระองค์จะเสด็จมาบังเกิดในเบธเลเฮม” (มีคาห์ 5:2) และ “พระองค์จะถูกดูหมิ่น และถูกทอดทิ้ง ถูกตี ถูกใส่ร้าย ถึงกระนั้นพระองค์ไม่ปริปาก” (อิสยาห์ 53:3-7), “พระหัตถ์ และเท้าถูกแทง และพวกเขาเอาเสื้อผ้าของพระองค์มาแบ่งกันท่ามกลางพวกเขา” (สดุดี 22:12-18)ความจริงมีว่าคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมเหล่านี้ได้สำเร็จสมจริงอย่างแม่นยำ ในชีวิต ความตาย และการฟื้นพระชนม์ของพระเยซู ซึ่งเป็นพยานให้ทราบ ว่าคำพยากรณ์เหล่านั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้า ขณะเดียวกันแสดงให้เห็นว่าพระเยซูคือบุคคลผู้นั้นตามที่พระองค์ทรงอ้างว่าพระองค์เป็นใคร ชีวิตของพระเยซูเป็นไปตามที่ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์ได้ทำนายไว้เกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ และการฟื้นพระชนม์ทุกอย่าง (ลูกา 9:21, 22; มัทธิว 17:22, 23) รวมไปถึงกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายลง (มัทธิว 24:1, 2) และการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระองค์ (ยอห์น 14:1-3) ดังนั้นการมาบังเกิด การสิ้นพระชนม์ และฟื้นพระชนม์ถูกทำนายไว้ในพระคัมภีร์ และทุกอย่างได้สำเร็จสมจริงทำให้เรามั่นใจและเชื่อถือได้

        สิ่งที่คุณคิดได้เกี่ยวกับเหตุผลที่คุณเชื่อพระเยซูและการสิ้นพระชนม์ไถ่มนุษย์ มีอะไรบ้าง จงแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นในชั้นเรียนสะบาโต

______________________________________________

Wed  April 1

พุธ   พระคัมภีร์เป็นประวัติศาสตร์

                  The Bible as History

        พระคัมภีร์มีลักษณะพิเศษเมื่อเปรียบเทียบคัมภีร์อื่น เพราะว่ามีบันทึกข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ นั่นหมายความว่าพระคัมภีร์ไม่เพียงเป็นหนังสือที่มีหลักปรัชญาหรือหลักศีลธรรมซึ่งเป็นแนวคิดของพระศาสดาที่เป็นมนุษย์เช่นขงจื้อ หรือพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่เป็นบันทึกพระราชกิจของพระเจ้าในประวัติศาสตร์ด้วย ที่เหตุการณ์ไปตามขั้นตอนสู่เป้าหมายที่เจาะจง ในกรณีของพระคัมภีร์ เป้าหมายเหล่านั้นคือ   1. พระสัญญาของพระเมสสิยาห์ และ2. การเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซู ความคืบหน้านี้มีผลต่อหลักความเชื่อของศาสนายูดาห์และศาสนาคริสต์ เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนาอื่นในโลกนี้นับตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณจนถึงปัจจุบัน

        อ่าน 1 โครินธ์ 15:3-5, 51-55; โรม 8:11 และ 1 เธสะโลนิกา 4:14 เนื้อหาในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้สอนเราว่า การฟื้นคืนพระชนม์ไม่ใช่เพียงแค่บันทึกความจริงทางประวัติศาสตร์ของพระคริสต์เท่านั้น แต่การฟื้นคืนพระชนม์นี้มีผลต่อชีวิตส่วนตัวของเราอย่างไรด้วย

        คำพยานของพระกิตติคุณทั้งสี่ และอัครทูตเปาโลบันทึกว่า พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ ทรงปรากฏแก่เหล่าอัครทูตและสาวกคนอื่นๆ นี่คือหลักฐานยืนยันจากการเห็นด้วยตาของบุคคลที่ได้วางพระศพลงที่อุโมงค์ และต่อมาพวกเขาได้เห็นอุโมงค์นั้นว่างเปล่า ในจำนวนคนที่ได้เห็นพระองค์มีผู้ได้สัมผัสพระองค์ และได้รับประทานอาหารกับพระองค์ มีมารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์ มารดาของพระเยซูเอง และสตรีคนอื่นๆ ที่ได้เห็นพระองค์ทรงฟื้นขึ้นมากจากความตาย สาวกสองคนได้สนทนากับพระองค์ขณะกำลังเดินไปหมู่บ้านเอมมาอูส ต่อมาพระเยซูทรงปรากฏแก่พวกเขาเพื่อทรงบัญชาให้ประกาศพระกิตติคุณแห่งความรอดออกไป อัครทูตเปาโลเขียนว่า ถ้าคำพยานในพระคัมภีร์ถูกปฏิเสธ การเทศนาของเราก็จะเปล่าประโยชน์ (1 โครินธ์ 15:14) พระคัมภีร์ฉบับแปลบางฉบับใช้คำว่า“โมฆะ” “ว่างเปล่า” หรือ “ไร้ค่า” ขณะที่เหล่าอัครทูตกล่าวว่า “องค์พระ-ผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นมาแล้วจริงๆ” (ลูกา 24:34) คำในภาษากรีกที่ใช้ว่า“ontos” อ้างถึงเหตุการณ์บางอย่างได้บังเกิดขึ้นจริง ซึ่งได้รับการแปลว่า“โดยแท้จริง” “แน่นอน” “เป็นจริง” เหล่าสาวกเป็นพยานว่า “องค์พระผู้-เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นมาแล้วจริงๆ” อนึ่งพระคริสต์ยังเป็นตัวแทนของ “ผลแรก”(1 โครินธ์ 15:20) ของผู้คนทั้งมวลที่ได้ตายไปแล้ว ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ว่าร่างกายของพระคริสต์ได้ฟื้นขึ้นจากความตาย และพระองค์ทรงพระชนม์อยู่บนสวรรค์ในวันนี้เป็นหลักประกันว่า พวกเราทั้งหลายก็เช่นกันจะฟื้นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ได้ทรงฟื้นจากความตายพร้อมกับผู้ชอบธรรมทั้งมวล “เพราะว่าเช่นเดียวกันที่ทุกคนต้องตายโดยเกี่ยวเนื่องกับอาดัม ทุกคนก็จะได้รับชีวิตโดยเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์” (1 โครินธ์ 15:22) ข้อความนี้มีความหมายว่า พันธกิจการทรงสร้างในอนาคตนั้น “คนทั้งหลายที่เป็นของพระคริสต์” หรือจงรักภักดีต่อพระองค์จะฟื้นขึ้นสู่ชีวิตใหม่ “ในเวลาที่พระองค์เสด็จกลับมา” (1 โครินธ์ 15:23) เมื่อพวกเขาได้ยิน “เสียงแตรครั้งสุดท้าย” (1 โครินธ์ 15:52)

       เพราะเหตุใดพระสัญญาเรื่องการฟื้นคืนชีพจึงเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราเข้าใจว่าความตายเป็น
เหมือนการนอนหลับ ถ้าปราศจากพระสัญญานี้ ความเชื่อของเราจะเป็นการไร้ค่าอย่างไรอำนาจการเปลี่ยนแปลงของพระวจนะ

___________________________________________________________________________

Thursday April 2

วันพฤหัสบดี    อำนาจการเปลี่ยนแปลงของพระวจนะ

                                         The Transforming Power of the Word

        อ่าน 2 พงศ์กษัตริย์ 22:3-20 อะไรเป็นเหตุให้กษัตริย์โยสิยาห์ ทรงฉีกฉลองพระองค์ และการค้นพบนี้ไม่ได้เปลี่ยนเฉพาะพระองค์ แต่
รวมไปถึงประชากรทั้งชาติของยูดาห์อย่างไร

        ในปีที่ 621 ก่อน ค.ศ. เมื่อกษัตริย์โยสิยาห์มีอายุ 25 ปี ฮิลคียาห์มหาปุโรหิต ได้ค้นพบ “หนังสือธรรมบัญญัติ” ในพระวิเวศ ซึ่งอาจเป็นพระธรรมห้าเล่มแรกของโมเสส โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ ในช่วงการครองราชย์ของกษัตริย์อาโมนพระบิดา และการครองราชย์กษัตริย์มนัสเสห์ คุณปู่ของพระองค์ก่อนหน้านี้ ม้วนหนังสือพระคัมภีร์ได้หายไปจากการกราบไหว้พระบาอัลหรือรูปเคารของพระอาเชราห์ และการนมัสการบริวารของฟ้าสวรรค์ (2 พงศ์กษัตริย์ 21:3-9) เมื่อกษัตริย์โยสิยาห์ได้ฟังข้อความของพันธ-สัญญา พระองค์ได้ฉีกฉลองของพระองค์ด้วยความเสียพระทัย เพราะพระองค์ทรงตระหนักว่า พระองค์และประชากรของพระองค์ได้หลงออกไกลจากการนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงใด ในทันใดนั้นพระองค์เริ่มทำการปฏิรูปจิตวิญญาณทั่วแผ่นดิน ทรงสั่งรื้อสถานนมัสการลงและทำลายรูปเคารพของพระต่างๆ เมื่อทรงดำเนินการในเรื่องนี้เสร็จ จึงเหลือเพียงสถานที่นมัสการพระเจ้าเพียงแห่งเดียวในแผ่นดินยูดาห์ คือพระวิหารของพระเจ้าในเยรูซาเล็ม ดังนั้นการค้นพบพระวจนะของพระเจ้านำผู้คนให้ตระหนักว่าพวกเขาได้ทำความผิดจึงมีการกลับใจใหม่และอำนาจการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มต้นจากกษัตริย์โยสิยาห์ และในที่สุดได้แพร่ไปทั่วทั้งแผ่นดินยูดาห์

        พระคัมภีร์ให้ความมั่นใจแก่เราว่า พระวจนะของพระเจ้ามีอำนาจการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา และแสดงให้เราเห็นเส้นทางสู่ความรอดอย่างไร อ่านพระธรรมยอห์16:13; ยอห์น 17:17; ฮีบรู 4:12 และโรม 12:2

        หนึ่งในหลักฐานที่ทรงพลังที่สุดของพระคัมภีร์คืออำนาจการเปลี่ยนแปลงชีวิตของบุคคล พระวจนะเปิดเผยความบาป ความเสื่อทราม และธรรม-ชาติแท้จริงของมนุษย์ และความต้องการพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

        พระคัมภีร์มีความจริงพิเศษที่ประกอบด้วยความจริงทางประวัติศาสตร์คำพยากรณ์ที่สมบูรณ์ และอำนาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ต้องตีความหมายในลักษณะพิเศษ ไม่อาจตีความเหมือนหนังสืออื่น เพราะพระวจนะแห่งชีวิตของพระเจ้าต้องได้ความเข้าใจถึงแสงสว่างของพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่พระองค์ทรงสัญญาจะส่งพระวิญญาณของพระองค์มาช่วย “นำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล”(ยอห์น 16:13) พระคัมภีร์เปิดเผยให้เห็นความจริงของพระเจ้า ในเล่ม หลักการเหล่านี้สามารถพบได้ในการศึกษาจากผู้ถูกดลใจให้เขียนพระคัมภีร์ ซึ่งใช้พระคัมภีร์เป็นตัวนำในการเขียนเท่าที่พวกเขาได้รับอนุญาต

_____________________________________________________________________________

Friday April 3

วันศุกร์  ศึกษาเพิ่มเติม:

อ่านงานเขียนของ เอลเลน จี. ไว้ท์ พระคัมภีร์เป็นเครื่องป้องกัน
สงครามแห่งประวัติศาสตร์, หน้า 593-602; อย่าให้ใจของพวกเป็นทุกข์เลย ผู้พึงปรารถนาแห่งปวงชน, หน้า 662-680

         คนมากมายได้สละชีวิตเพื่อค้ำจุนและสัตย์ซื่อต่อพระวจนะของพระเจ้า เช่น ดร.โรว์แลนด์ เทย์เลอร์ (Rowland Taylor) ผู้ทำหน้าที่ศาสนาจารย์ประจำโบสถ์ในแฮดเรย์ที่อังกฤษ เป็นผู้ต่อต้านการบังคับให้เข้าร่วมพิธีฉลองการกินอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูในพิธีของคาทอลิก ซึ่งเวลาดังกล่าวมีเลือดของนางมารีย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ผลคือ ดร.โรว์แลนด์ ถูกขับออกจากโบสถ์ ถูกเย้ยหยันจากการยืนหยัดถึงพระคัมภีร์ ดร.โรว์แลนด์ ได้ยื่นหนังสืออุธรณ์ต่อหัวหน้าบาทหลวงแห่งวินเชสเตอร์แห่งอังกฤษ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีของอังกฤษด้วย แต่ท่านถูกสั่งให้นำตัวไปขังไว้ในเรือนจำและในที่สุดถูกนำไปประหารโดยการเผาด้วยไฟ ก่อนที่ ดร.โรว์แลนด์ จะถูกเผาในปีค.ศ. 1555 ท่านได้กล่าวว่า “ประชากรผู้ประกอบการดี ข้าพเจ้าไม่ได้สอนพวกท่านอะไรเลย เว้นแต่พระวจนะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า และบทเรียน
เหล่านั้นที่ข้าพเจ้านำมาจากหนังสือแห่งพระพรของพระเจ้า คือพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์และข้าพเจ้าได้ถูกนำมาที่ลานประหารในวันนี้ เพื่อข้าพเจ้าจะประทับตราด้วยโลหิตของข้าพเจ้า” (จากหนังสือของ ยอห์น์ ฟ็อกซ์ ในชื่อ “หนังสือเล่มใหม่ของฟ็อกซ์ว่าด้วยการการตายเพื่อพระศาสนา” ซึ่งถูกเขียนขึ้นใหม่ให้ทันสมัยโดย “ฮาร์โรลด์ เจ. ชาดวิค” หน้า 193 ฝูงชนผู้ยืนอยู่รอบลานประหารด้วยการเผาไหม้หลายคนได้ยิน ดร. เทย์เลอร์ ท่องพระคัมภีร์ สดุดีบทที่ 51 เพียงไม่กี่นาทีก่อนกองฟืนถูกจุดด้วยไฟ และเขาได้สละชีวิตเพื่อความจริงของพระเจ้า คำถามที่เราต้องถามตัวเองในเวลานี้คือ เรายังคงยืนหยัดถึงความจริงอย่างสัตย์ซื่อ เพื่อเชิดชูความจริงของพระเจ้าไหม อีกไม่นานสงครามความขัดแย้งครั้งสุดท้ายจะมาถึง และเวลาการเตรียมตัวที่ดีที่สุดคือเดี๋ยวนี้

 

คำถามเพื่อการอภิปราย:

1. คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ยืนยันให้เราเห็นว่าพระคัมภีร์มีต้นกำเนิด จากพระเจ้าได้อย่างไร และสิ่งนี้เสริมความเชื่อของเราอย่างไร


2. จากการตอบคำถามสุดท้ายของหัวข้อในวันอังคาร เพราะเหตุใดหลักฐานที่ยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์จึงเป็นหลักฐาน
ที่ทรงพลัง


3. พระเยซูและเหล่าอัครทูตเผยถึงความเชื่อเรื่องสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ว่ามาจากพระเจ้า เช่น พระเยซูทรงอ้างถึงข้อ
พระคัมภีร์ (มัทธิว 26:54, 56; มาระโก 14:49; ลูกา 4:21; ยอห์น 13:18; ยอห์น 17:12)

ถ้าพระเยซูทรงใช้พระคัมภีร์ (ใน กรณีของพระองค์ทรงใช้พระคัมภีร์เดิม)อย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพยากรณ์ที่กำลังสำเร็จสมจริงแล้ว เราควรมีท่าทีต่อพระคัมภีร์อย่างไร

 

                                                         GO TO INDEX PAGE 

 

Related Information