คู่มือศึกษาพระคัมภีร์โรงเรียนสะบาโตผู้ใหญ่
ไตรมาสที่ 2
เมษายน – พฤษภาคม – มิถุนายน 2020
การตีความหมายพระคัมภีร์“How to Interpret Scripture”
เขียนโดย
แฟรงค์ เอ็ม. ฮาเซล และ มิคาเอล จี. ฮาเซล
แปลโดย
ศจ.รังสิต อิศฤงคาร
จัดพิมพ์โดย
สำนักงานคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย
---------------------------------------------------------------------------------
แผนกพันธกิจโรงเรียนสะบาโต
สำนักงานคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย
12 ซ.ปรีดี พนมยงค์ 37 ถ.สุขุมวิท 71 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110
โทร. 0-2381-3298, 0-2391-3595, 0-2391-0525, 0-2392-3598 โทรสาร 0-2381-1928
website: www.adventist.or.th e-mail: sdatam@adventist.or.th
คำนำ
การตีความหมายพระคัมภีร์
เซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสเป็นโปรเตสแตนต์ที่เชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นพื้นฐาน
เพียงหนึ่งเดียวของความเชื่อและหลักคำสอนของเรา สิ่งนี้มีความสัมพันธ์
พิเศษกับวาระสุดท้าย ตามที่ เอลเลน จี. ไว้ท์ กล่าวว่าพระเจ้าจะมี “ผู้คนบน
แผ่นดินโลกที่ยึดมั่นในพระคัมภีร์ และพระคัมภีร์เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่เป็น
มาตรฐานของหลักความเชื่อทั้งมวล และเป็นพื้นฐานของการปฏิรูปทั้งปวง”
(สงครามแห่งประวัติศาสตร์, หน้า 595)
เราไม่ใช่คริสตจักรหนึ่งเดียวท่ามกลางโปรเตสแตนต์ที่อ้างว่า “พระ-
คัมภีร์ และพระคัมภีร์เท่านั้น” ที่เป็นพื้นฐานความเชื่อของเรา แม้ว่าหลาย
คริสตจักรจะอ้างเช่นนั้น ก็ยังมีเชื่อหลายสิ่งที่แตกต่างกัน เช่นเขาเชื่อว่าใน
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ใช้วันอาทิตย์เป็นวันมัสการแทนวันที่เจ็ดที่เป็น
วันสะบาโต บ้างเชื่อว่าจิตวิญญาณไม่มีวันตาย ในนรกมีไฟที่จะเผาไหม้คน
บาปตลอดไปไม่มีวันดับ หรือเชื่อว่าพระเยซูจะเด็จกลับมารับคนชอบธรรมไป
อย่างลับๆ (secret rapture) และปล่อยให้ทุกคนที่อยู่แวดล้อมเกิดความสนเท่ห์
ว่า บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับพวกเขาอันตรธานไปไหนกัน
อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า การที่เพียงมีพระคัมภีร์และอ้างว่าเชื่อในพระ-
คัมภีร์นั่นเป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งถือว่ามีความสำคัญ แต่พวกเขาอาจจะเป็นผู้ “ทำการ
แพร่ขยาย” (proliferation) หลักคำสอนเทียมเท็จออกไป (โดยสันนิษฐานว่า
ทั้งหมดได้รับมาจากข้อพระคัมภีร์) ดังนั้นเราจะต้องทราบว่า จะตีความหมาย
ข้อพระคัมภีร์ได้อย่างถูกต้องเช่นกัน
การมีพระคัมภีร์และอ้างว่าเชื่อในพระคัมภีร์นั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่พวก
เขาก็อาจจะเป็นผู้เผยแพร่คำสอนเทียมเท็จได้ โดยสันนิษฐานว่าคำสอนเหล่า
นั้นมาจากพระคัมภีร์ ดังนั้นเราจะต้องรู้ว่า จะตีความหมายพระคัมภีร์ให้ถูก
ต้องได้อย่างไร หัวข้อในไตรมาสนี้คือ “การตีความหมายพระคัมภีร์” เราจะเริ่มด้วยสันนิษฐานว่า พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ที่ “เปิดเผยให้
ทราบพระทัยของพระเจ้าอย่างไม่ผิดพลาด” และเป็น “มาตรฐานแห่งอุปนิสัย
เป็นข้อทดสอบประสบการณ์ เป็นหลักฐานที่มีอำนาจของหลักความเชื่อ และ
เป็นบันทึกถึงกิจการที่น่าเชื่อถือของพระเจ้าในประวัติศาสตร์” (“ Seventh-day Adventist Believe..(2 nd ed.) (Nampa: Idaho: Pacific Press ; Pub-lishing Association, 2005, หน้า 11)
สรุปสั้นๆ ข้อความจากพระคัมภีร์ ไบเบิล เป็นแหล่งพื้นฐานแห่งความจริง ที่เราเชื่อและประกาศเผยแพร่ไปทั่ว
โลก หรือตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้เองว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่ง
ผิด และการอบรมในความชอบธรรม” (2 ทิโมธี 3:16) คำว่า “พระคัมภีร์ทุกตอน” หมายถึงพระคัมภีร์ทั้งเล่ม แม้แต่ข้อพระคัมภีร์ที่เราไม่ชอบ ที่มีข้อ
ความทำให้เราสะดุด และใช้สำนวนภาษาที่ไม่ดีในด้านการเมือง พระคัมภีร์
สอนเราว่า พระคัมภีร์ตีความหมายตัวเองอย่างไรก่อนที่เราจะไปค้นหาคำ
อธิบายข้อพระคัมภีร์พิเศษ เช่นวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และประวัติศาสตร์ (ซึ่ง
ถ้าใช้อย่างถูกต้อง สามารถเป็นพรได้) เราจะหาการเปิดเผยจากภายในข้อ
พระคัมภีร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เปิดเผยความจริงอันยิ่งใหญ่ เราได้รับการบอก
ว่า “เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความประสงค์ของมนุษย์เลย แต่มนุษย์กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจเขา” (2 เปโตร 1:21) และเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ที่ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าได้พูดออกมานั้นเป็นกุญแจที่ช่วยเราในการตีความหมายพระวจนะของพระองค์
ตัวอย่างการตีความหมายพระคัมภีร์ของอัครทูตเปาโลและผู้เขียน
พระกิตติคุณท่านอื่น ถ้าพวกเขาเขียนโดยได้รับการดลใจจากพระเจ้า ก็แน่ใจ
ได้ว่า พวกเขาอ่านและตีความหมายข้อพระคัมภีร์ไปในแนวเดียวกัน ซึ่งช่วย
ให้เราเรียนรู้ได้ด้วย พระเยซูทรงใช้และตีความหมายข้อพระคัมภีร์อย่างไร เรา
จะไม่พบตัวอย่างอื่นที่ดีกว่าการอ่านและการตีความหมายข้อพระคัมภีร์ของ
พระเยซูอีก เราจะดูสมมุติฐานและเหตุผลเกี่ยวกับบริบท ภาษา วัฒนธรรม
และประวัติศาสตร์ ว่าเป็นอย่างไร เราอ่านและเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เรา
ตีความหมายเรื่องอุปมา คำพยากรณ์ และประวัติศาสตร์ คำสอนรวมไปถึง
เพลงสดุดี คำเผยพระวจนะ ทั้งหมดเป็นดุจแสงสีขาวอันเป็นการรวมแสงหลาก
สีของดวงอาทิตย์ ซึ่งพบในข้อความจากพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม ทั้งหมดนี้จะ
ได้รับการสำรวจในไตรมาสนี้ เพราะว่า “การถูกทรมานในไฟนรกตลอดไปเป็น
นิตย์” หรือ “ความศักดิ์สิทธิ์ของวันอาทิตย์” ที่เชื่อว่าเป็นหลักคำสอนที่มีใน
พระคัมภีร์นั้น เป็นความเข้าใจที่ยังไม่เพียงพอ เราจะต้องเรียนรู้การตีความ
หมายพระคัมภีร์ด้วยกัน
ดร. แฟรงค์ เอ็ม. ฮาเซล Ph.D., เป็นรองผู้อำนวยการสถาบันการค้นคว้าทางพระคัมภีร์ (BRI) ที่สำนักงานใหญ่แห่งคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์-แอ๊ดเวนตีส ส่วน ดร.มิคาเอล ฮาเซล Ph.D., เป็นศาสตราจารย์คณะศาสน-ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย เซาเทิร์นแอ๊ดเวนตีส และเป็นผู้อำนวยการของสถาบัน
และ “พิพิธภัณฑ์โบราณคดี เฮส วู๊ด”