บทที่ 9
การเนรมิตสร้าง: ปฐมกาลเป็นรากฐาน ตอนที่ 2
Creation: Genesis as Foundation, Part 2
วันที่ 23 - 29 พฤษภาคม 2020
บ่ายวันสะบาโต
อ่านข้อพระคัมภีร์สำหรับบทเรียนสัปดาห์นี้
- โยบ 26:7-10; ปฐมกาล บทที่ 1, 2; ปฐมกาล บทที่ 5; ปฐมกาล บทที่ 11; 1 พงศาวดาร 1:18-27; มัทธิว 19:4, 5; ยอห์น 1:1-3
ข้อควรจำ
“ท้องฟ้าประกาศพระสิริของพระเจ้า และพื้นฟ้าสำแดงผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์” (สดุดี 19:1)
นักคิดยิ่งใหญ่หลายคนได้รับการดลใจจากพระคัมภีร์ ในการสำรวจโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง ผลคือทำให้เกิดนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เช่น โจฮันเนส เคบเปลอร์ ไอแซ็ค นิวตัน จอห์น เรย์ โรเบิร์ท บอยล์ นักวิทยาศาสตร์ยุคแรกเหล่านี้เชื่อว่า งานของพวกเขาเปิดเผยให้เห็นแห่งฝีพระหัตถ์แห่งการทรงสร้างของพระเจ้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
หลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ในศตวรรษที่สิบเก้า เริ่มมีการเคลื่อนไหวจากความคิดที่มีต่อโลกตามคำสอนในพระคัมภีร์ไปสู่แนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติและวัตถุนิยม จนไม่มีพื้นที่ให้กับการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติเลย แนวคิดตามหลักปรัชญาเหล่านี้เป็นที่นิยมของ ชาร์ลส ดาร์วิน จากหนังสือ “The Origin of Species” (กำเนิดสปีชีส์) ในปี ค.ศ. 1859 นับแต่นั้นมาวิทยาศาสตร์ได้แหวกแนวไปจากพระคัมภีร์มากขึ้นเรื่อยๆ จนขัดแย้งกับหลักการในพระคัมภีร์
ตามความคิดของวิทยาศาสตร์แล้วพระคัมภีร์สอนเรื่องที่ล้าสมัย เรื่องในพระคัมภีร์อาจเป็นเพียงสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ อาจเป็นเรื่องวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นตามสถานที่และเวลา หรือได้รับการดลใจเพื่อยกความคิดให้สูงขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นเนื้อหาที่จะศึกษาในสัปดาห์นี้
_________________________________________________
วันอาทิตย์ โลกแบน
A Flat Earth
เป็นเรื่องปกติที่คนจำนวนมากในสมัยโบราณจะคิดกันว่าโลกแบน แต่ละคนมีเหตุผลและความเข้าใจว่าโลกกลมหรือแบนต่างกัน แม้แต่ในปัจจุบันนี้ บางคนยังอ้างว่า พระคัมภีร์สอนว่าโลกแบน
อ่าน พระธรรมวิวรณ์ 7:1 และ 20:7, 8 อะไรคือบริบทของข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้สอนว่าโลกนี้แบนหรือไม่
อัครทูตยอห์นเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์เล่มนี้ เป็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับวาระสุดท้าย บรรยายถึงทูตสวรรค์สี่องค์ว่า “ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์สี่องค์ ยืนอยู่ที่มุมโลกทั้งสี่ของแผ่นดินโลก ยับยั้งลมทั้งสี่ของแผ่นดินโลกไว้ เพื่อไม่ให้ลมพัดบนบก บนทะเล หรือบนต้นไม้ทุกต้น” (วิวรณ์ 7:1) ท่านกล่าวซ้ำคำว่า “สี่” ถึงสามครั้งเพื่อโยงทูตสวรรค์เข้ากับสี่ทิศ
กล่าวได้ว่า ยอห์นกำลังใช้วิธีอุปมาเปรียบเทียบ เหมือนที่เรากล่าวว่า “ดวงอาทิตย์กำลังตกดิน” หรือ “ลมพัดมาจากทิศตะวันออก” บริบทของเนื้อหาบ่งบอกว่าเป็นแนวคิดแบบคำอุปมา คือเหนือ ใต้ ตะวันออก และทิศตะวันตก เพื่อให้ข้อพระคัมภีร์บอกถึงบางสิ่งที่ที่ไม่ได้บอกโดยตรง เช่นเดียวกับที่พระเยซูตรัสว่า “ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การเป็นชู้ การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ล้วนออกมาจากใจ” (มัทธิว 15:19)พระองค์ไม่ได้พูดถึงใจตามปรัชญาหรือตามตัวอักษร แต่พระองค์ทรงพูดเป็นอุปมาให้เข้าใจศีลธรรม
อ่าน โยบ 26:7-10 และ อิสยาห์ 40:21, 22 ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้กล่าวถึงธรรมชาติของโลกอย่างไร
ในพระธรรมโยบ 26:7 โลกถูกบรรยายว่า กำลังแขวนอยู่ในอวกาศ: “พระองค์ทรงคลี่อุดร ออกคลุมที่เวิ้งว้าง และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า”
และในพระธรรมอิสยาห์ 40:22 กล่าวว่า “คือพระองค์ประทับเหนือหลังคาโค้งของแผ่นดินโลก และชาวแผ่นดินโลกก็เป็นเหมือนตั๊กแตน พระองค์ทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน”
ถ้าท่านเป็นคนที่มีชีวิตอยู่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว มีหลักฐานอะไรที่ทำให้ท่านเชื่อได้ว่าโลกมีการเคลื่อนไหวหรืออยู่กับที่ และโลกแบนหรือกลม
________________________________________________
วันจันทร์ การสร้างโลกในวรรณคดีโบราณ
Creation in Ancient Literature
นักโบราณคดีได้ค้นพบต้นฉบับของข้อความจากอียิปต์โบราณ และในตะวันออกใกล้ที่มีเรื่องการสร้างโลกและน้ำท่วมใหญ่ ทำให้บางคนสงสัยว่า เรื่องที่บันทึกในพระธรรมปฐมกาลอาจยืมมาจากวรรณกรรมเหล่านี้ หรืออ้างอิงจากข้อมูลบางประการของต้นฉบับเหล่านี้ แต่ความสงสัยนี้เรื่องจริงหรือไม่
อ่านปฐมกาล 1-2:4 และอ่านข้อความจากมหากาพย์เรื่อง Atra-Hasis ที่กล่าวว่า “เมื่อเทพเจ้าทั้งหลายใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ พวกเขาได้ทำงานอย่างหนัก แต่ไม่นานก็มีเทพจำนวนหนึ่งไม่ยอมทำจึงมีเทพองค์หนึ่งที่มีปัญญาแนะนำให้สร้างมนุษย์มาทำงานแทนพวกเขา จึงให้เทพหญิง Mami ให้กำเนิดมนุษย์ด้วยการใช้ดินผสมกับเนื้อและเลือดของ Geshtu-E ที่เป็นเทพผู้เฉลียวฉลาดที่ถูกสังหาร มนุษย์จึงเกิดขึ้นมา” (Stephanie Dalley, Myths From Mesopotamia: Creation, the Flood, Gilgamesh, and Others New York: Oxford University Press, 1989) หน้า 9, 14, 15 ท่านเห็นความแตกต่างอะไรบ้าง
แม้เรื่องที่ยกมานี้จะมีความคล้ายคลึงกับเรื่องในพระคัมภีร์ เช่น มนุษย์คนแรกมาจากดิน แต่ก็มีความแตกต่างกันอีกหลายประการ ดังต่อไปนี้
(1) ใน Atra-Hasis มนุษย์ถูกสร้างมาทำงานเพื่อให้พวกเทพได้พัก แต่ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้วจึงสร้างมนุษย์มาเป็นอันดับสุดท้าย มนุษย์จึงได้พักพร้อมกับพระเจ้าในวันที่เจ็ด ได้ครอบครองสวนเอเดนและได้สื่อสารกับพระองค์
(2) ใน Atra-Hasis เทพองค์หนึ่งถูกฆ่าเพื่อเอาเนื้อและเลือดไปผสมกับดินเพื่อสร้างชายเจ็ดคนและหญิงหลายคน แต่ในปฐมกาลพระเจ้าทรงสร้างอาดัมด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ และระบายลมแห่งชีวิตเข้าไปทางรูจมูกของเขา และเอวาก็ได้รับการสร้างจากกระดูดซี่โครงของอาดัม เพื่อเป็นผู้ช่วยของอาดัม พระเจ้าไม่ได้สร้างอาดัมและเอวาจากเนื้อและเลือดของเทพองค์อื่นที่ถูกฆ่า
(3) ไม่มีความขัดแย้ง หรือความรุนแรงในพระธรรมปฐมกาล เหมือนใน Atra-Hasis เรื่องในพระธรรมปฐมกาล บรรยายได้น่าประทับใจมากเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ทรงมอบภารกิจอันน่าภาคภูมิใจแก่มนุษย์ ในโลกที่สมบูรณ์แบบ
บางคนแย้งว่า เรื่องการสร้างโลกและน้ำท่วมโลก เป็นเรื่องที่มีการเล่าต่อกันมา ทำให้เสียพื้นแพที่แท้จริงไป แต่โมเสสได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงเปิดเผยให้ท่าน แม้จะมีบางอย่างคล้ายกันก็ตาม นี่ถูกต้องมากกว่าการคิดว่าโมเสสนำเรื่องจากคนนอกศาสนามาเขียนใหม่
_________________________________________________
วันอังคาร ปฐมกาลเทียบกับลัทธินอกศาสนา
Genesis Versus Paganism
พระธรรมปฐมกาลถูกเขียนขึ้นในลักษณะที่ปฏิเสธนิยายอภินิหารเกี่ยวกับการสร้างโลกของคนนอกศาสนา
อ่าน ปฐมกาล 1:14-19 สิ่งที่ได้รับการสร้างในวันที่สี่คืออะไร และสิ่งเหล่านั้นมีหน้าที่ทำอะไร
คำว่า “ดวงอาทิตย์” และ “ดวงจันทร์” ผู้ที่เชื่อพระเจ้าต้องหลีกเลี่ยงคำว่า “พระ” นำหน้า เพราะดวงสว่างเหล่านี้ถูกกำหนดเป็นเทพเจ้าของคนนอกศาสนาในตะวันออกใกล้ อียิปต์และที่อื่นๆ ด้วย ซึ่งต่างกับพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘จงมีดวงสว่างต่างๆ ของภาคพื้นฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้เป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี และให้เป็นดวงสว่างต่างๆ บนภาค นฟ้า เพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน’” (ปฐมกาล 1:14, 15) พระคัมภีร์ตรงนี้แสดงให้เห็นชัดเจนมากว่า ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่ใช่พระหรือเทพเจ้า แต่เป็นดวงดาวที่ถูกสร้างมาเพื่อทำหน้าที่ส่องสว่างตามธรรมชาติเท่านั้น
อ่านพระธรรมปฐมกาล 2:7; 18-24 พระเจ้าทรงสร้างอาดัมและเอวาอย่างไร
นิยายอภินิหารต่างๆ ในตะวันออกใกล้อธิบายว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาหลังจากที่เทพทั้งหลายได้พิจารณาเห็นว่า ควรสร้างมนุษย์มาทำงานหนักแทนพวกเขา นี่เป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจนและขัดแย้งกับข้อเขียนในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า มนุษย์ได้รับการสร้างมาเป็นตัวแทนของพระเจ้า ให้มีอำนาจปกครองแผ่นดินโลก อาดัมและเอวาจึงเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้า
พระธรรมปฐมกาลนำเสนอความจริงที่ต่อต้านนิยายอภินิหารของโลกโบราณ โมเสสเขียนสิ่งที่ไม่เข้ากับแนวความคิดของคนนอกศาสนา เพื่อแสดงว่าเนื้อหาในพระคัมภีร์ไม่ใช่นิยายและไม่ได้นำมาจากคนนอกศาสนา แต่เป็นเรื่องจริงที่เข้าใจได้ง่าย พระเจ้าทรงมีบทบาทและพระประสงค์ที่ดีในการสร้างโลก
เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้วที่เรื่องการเนรมิตสร้างในพระคัมภีร์เป็นเรื่องแปลกสำหรับคนในวัฒนธรรมอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่แปลกใจที่เรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนในยุคปัจจุบันด้วย
_________________________________________________
พุธ กาเนรมิตสร้างและเวลา
Creation and Time
อ่านพระธรรมปฐมกาล บทที่ 5 และ 11 พระคัมภีร์เรียงลำดับวงศ์ตระกูลจากอาดัมถึงโนอาห์ และจากโนอาห์ถึงอับราฮัมอย่างไร
สิ่งสำคัญที่ทำให้การศึกษาลำดับวงศ์ตระกูลในพระคัมภีร์มีความพิเศษคือ มีการระบุเวลาที่แน่นอน ทำให้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ เช่นคนที่หนึ่งมีอายุกี่ปีจึงมีบุตรคนแรก บุตรคนแรกที่เป็นคนรุ่นที่สองนั้นมีอายุกี่ปีจึงมีบุตรคนแรกที่เป็นคนรุ่นที่สาม นอกจากนี้แล้วยังมีการอธิบายว่าเขามีอายุรวมกันกี่ปีจึงสิ้นชีวิตด้วย วิธีนี้ทำให้ไม่มีการตัดคนรุ่นใดออกและไม่มีการเพิ่มอะไรเข้ามา ปฐมกาล บทที่ 5 และ 11 จึงเป็นลำดับพงศ์พันธุ์ที่ต่อเนื่องกัน เหมือนที่เขียนไว้ใน 1 พงศาวดาร 1:1-27
เกือบ 2,000 ปีนักตีความทั้งชาวยิวและคริสเตียนได้ใช้พระคัมภีร์เหล่านี้ยืนยันถึงความถูกต้องของประวัติศาสตร์ เช่นปีที่มีน้ท่วมโลก ยุคต่างๆ ของโลก หรือวันในการเนรมิตสร้าง
ไม่นานมานี้มีคนพยายามจะตีความหมายเวลาใน ปฐมกาล บทที่ 5 และ 11 ให้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น เพื่อสนับสนุนแนวคิดของนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ที่มองว่าโลกน่าจะมีอายุมากกว่าที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ แต่นี่เป็นความผิดพลาดของมนุษย์ คำแนะนำคือให้ใช้บันทึกที่ถูกต้องในพระ-คัมภีร์
ถ้าอยากเข้าใจแนวคิดของพระเจ้าเกี่ยวกับเวลาและประวัติศาสตร์ต้องตระหนักว่าปฐมกาล บทที่ 5 และ 11 เชื่อมโยงอาดัมกับพระเจ้าและมนุษยชาติทั้งหมด โดยมีระยะเวลาและสายสัมพันธ์ที่ชัดเจน ที่เชื่อมมนุษยชาติทั้งหมดเข้ากับบุคคลที่พระเจ้าทรงสร้างในวันที่หกในสัปดาห์ที่มีการเนรมิตสร้างโลกที่เป็นดาวเคราะห์ดวงนี้ “Gerhard F. Hasel, “The Meaning of the Chronogenealogies of Genesis 5 and 11, Origins 7/2 (1980), หน้า 69
แม้เรื่องในพระคัมภีร์จะมีไว้เพื่อจุดประสงค์ที่ดี แต่เปาโลได้กล่าวถึงอะไร ใน 1 ทิโมธี 1:4 และ ทิตัส 3:9 ที่เราควรเอาใจใส
_________________________________________________
วันพฤหัสบดี การเนรมิตสร้างในพระคัมภีร์
Creation in the Scripture
อ่านข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ และดูว่าผู้เขียนแต่ละคนอ้างถึงปฐมกาล บทที่ 1-11 อย่างไร (มัทธิว 19:4, 5; มาระโก 10:6-9; ลูกา 11:50, 51; ยอห์น 1:1-3; กิจการฯ 14:15; โรม 1:20; 2 โครินธ์ 4:6; เอเฟซัส 3:9; 1 ทิโมธี 2:12-15; ยากอบ 3:9; 1 เปโตร 3:20; ยูดา บทที่ 11, 14; วิวรณ์ 2:7; 3:14; 22:2, 3)
พระเยซูและผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด ต่างอ้างถึงพระธรรมปฐมกาลบทที่ 1-11 โดยถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่เชื่อได้ พระเยซูทรงกล่าวถึงการสร้างชายและหญิงตามข้อเขียนของโมเสส (มัทธิว 19:4) อัครทูตเปาโลก็กล่าวถึงเรื่องการทรงสร้างเพื่อสนับสนุนศาสนศาสตร์ของท่าน ที่ท่านสอนผู้คงแก่เรียนในกรุงเอเธนส์ว่า “พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ได้สถิตในวิหารที่มนุษย์สร้างขึ้น” (กิจการฯ 17:24) ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้แต่งเรื่องขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านยุคใหม่เห็นความสำคัญของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามตัวอักษร
จากโรม 5:12-19 เปาโลเชื่อมโยงเรื่องจากอาดัมถึงพระเยซู โดยถือว่าอาดัมเป็นบุคคลที่มีชีวิตจริงในประวัติศาสตร์ตามตัวอักษรในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ความบาปและความตายเข้ามา
ถ้าผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และคำสอนของพระเยซูก็ยืนยันได้ว่าเรื่องการเนรมิตสร้างในประติ-ศาสตร์น่าเชื่อถือ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำไมเราจึงต้องไปเชื่อข้ออ้างของมนุษย์ที่ล้มลงในความบาปที่สอนต่างกับพระคัมภีร์เล่า
_____________________________________
วันศุกร์
ศึกษาเพิ่มเติม:
อ่านหนังสือของ Gerald A.Klingbeil, editor, The Genesis Creation Account and Its Reverberations in the Old Testament (Berrien Springs MI: Andrews University Press, 2015)
“พระคัมภีร์ให้ข้อมูลที่กว้างที่สุดและชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เป็นเรื่องสดใหม่สดที่จริงนิรันดร์ จากพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ได้รับการรักษาให้บริสุทธิ์ตลอดทุกยุคทุกสมัย...ตรงนี้เป็นที่เดียวที่เราพบประวัติศาสตร์ของพงศ์พันธุ์ของมนุษย์ ที่ถูกทำให้มัวหมองโดยอคติของมนุษย์” (เอลเลน จี.ไว้ท์, คำพยานสำหรับคริสตจักร, เล่ม 5, หน้า 25)
“ข้าพเจ้าว่าหากปราศจากซึ่งประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ นักธรณีวิทยาไม่อาจพิสูจน์อะไรได้ ชิ้นส่วนโบราณที่พบบนพื้นโลกให้หลักฐานบาง
ประการที่แตกต่างไปจากปัจจุบัน แต่การที่จะเข้าใจว่า สิ่งนั้นอยู่ช่วงเวลาใดนั้นต้องใช้ประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ช่วย แต่เมื่อมนุษย์ปล่อยมือจากพระ-วจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของการเนรมิตสร้าง และแสวงหาสิ่งต่างๆ จากผลงานที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ คือธรรมชาติ พวกเขาก็จะอยู่ในสภาพเหมือนทะเลที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ไม่เหมือนพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างโลกหกวันตามตัวอักษร พระองค์ไม่เคยปิดบังเรื่องนี้กับมนุษย์ แม้การเนรมิตสร้างของพระองค์จะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก เช่นเดียวกับการทรงพระชนม์อยู่ของพระองค์” (เอลเลน จี. ไว้ท์, Spiritual Gifts, เล่ม 3, หน้า 93)
คำถามเพื่อการอภิปราย:
1. เมื่อวิทยาศาสตร์อธิบายความจริงบางอย่างที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ ยินและจับต้องไม่ได้ ที่ต้องทดลองมากมายและยังหาข้อสรุปไม่ ได้ แต่ทำไมผู้คนกลับยอมรับได้ว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงเมื่อหลาย พันล้านปีที่แล้ว
2. วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่เกิดจากการสันนิษฐาน โดยไม่ใช้อัศจรรย์ เหนือธรรมชาติมาอธิบายนั้น สามารถอธิบายธรรมชาติได้และ สิ่งที่มนุษย์เชื่อได้หรือไม่ ถ้าตัดเรื่องการเนรมิตสร้างที่เป็นการ อัศจรรย์เหนือธรรมชาติออกไป คำอธิบายอื่นจะเป็นอย่างไร ถูก หรือผิดมากขึ้น
Previous/บทที่แล้ว Next/บทต่อไป Contents/สารบํญ