Thai SDA Church

Smile to the World and the World will smile back at you.

Chapter 4: พระคัมภีร์เป็นรากฐานของศาสนศาสตร์

บทที่ 4 

April 18-24

พระคัมภีร์เป็นรากฐานของศาสนศาสตร์

The Bible-The Authoritative Source of Our Theology

April 18

บ่ายวันสะบาโต

        อ่านข้อพระคัมภีร์สำหรับบทเรียนสัปดาห์นี้ มาระโก 7:1-13; โรม 2:4; 1 ยอห์น 2:15-17; 2 โครินธ์ 10:5, 6; ยอห์น 5:46, 47; ยอห์น 7:38

       ไม่มีคริสตจักรใดที่ไม่ใช้พระคัมภีร์สนับสนุนความเชื่อของเขา กระนั้นบทบาทและสิทธิอำนาจของระคัมภีร์ที่เป็นหลักศาสน-ศาสตร์ก็ไม่เหมือนกันในคริสตจักรทุกแห่ง บทบาทของพระคัมภีร์จะแตกต่างกันในแต่ละคริสตจักร สิ่งนี้มีความสำคัญ แต่เป็นหัวข้อที่ซับซ้อน เราจะสำรวจจากห้าแห่งที่มีผลต่อการตีความหมายพระคัมภีร์ ได้แก่ธรรมเนียม ประสบ-การณ์ วัฒนธรรม เหตุผล และพระคัมภีร์ เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่มีผลต่อชีวิต เรามีประสบการณ์ที่หล่อหลอมความคิดที่มีอิทธิพลต่อความเข้าใจ เรามีความคิดที่จะประมวลสิ่งต่างๆ และเราอ่านพระคัมภีร์เพื่อความเข้าใจพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์ ทั้งหมดนี้สิ่งใดมีอิทธิพลต่อการตีความพระคัมภีร์เป็นอันดับแรกและอันดับสุดท้ายเพื่อกำหนดหลักความเชื่อหรือหลักศาสตร์ในชีวิตของเรา

____________________________________

April  19 

  ธรรมเนียมประเพณี   Tradition

          ธรรมเนียมประเพณีโดยตัวของมันเองไม่ได้เลวร้าย มันให้ทำเกิดการกระทำซ้ำในกิจวัตรประจำวันของเราซึ่งเป็นไปในทิศทางและโครงสร้างจำเพาะ มันสามารถช่วยเราให้เชื่อมต่อกับรากเหง้าของเรา ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องประหลาดที่ธรรมเนียมประเพณีมีส่วนสำคัญในศาสนา แต่มีอันตรายบางอย่างเชื่อมโยงกับธรรมเนียมประเพณี

          พระธรรมมาระโก 7:1-13 พระเยซูทรงมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อธรรมเนียมของคนในสมัยของพระองค์

          ธรรมเนียมที่พระเยซูทรงเผชิญ เป็นธรรมเนียมที่ส่งทอดลงมายังชุมชนชาวยิว จากอาจารย์สู่ลูกศิษย์ ในสมัยของพระเยซูธรรมเนียมถูกนำไปปฏิบัติคู่กับพระคัมภีร์ ธรรมเนียมมีแนวโน้มที่จะเติบโต มีการยอมรับมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ธรรมเนียมได้เพิ่มจำนวนและมีรายละเอียดมากขึ้น ธรรมเนียมเหล่านี้ไม่มีจุดเริ่มต้นในพระวจนะของพระเจ้า กระนั้นธรรมเนียมปฏิบัติของมนุษย์เหล่านี้ได้รับการส่งเสริมโดยผู้ปกครองที่ได้รับความเชื่อถือ (ดู มาระโก 7:3, 5) อย่างไรก็ดีผู้นำศาสนาในชุมชนชาวยิวยอมรับว่าธรรมเนียมเหล่านี้ไม่มีความสำคัญเท่ากับพระบัญญัติของพระเจ้า (ดู มาระโก 7:8, 9) จากคำตรัสของพระเยซู ธรรมเนียมของมนุษย์ทำลายพระวจนะของพระเจ้าได้ “พวกท่านจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะด้วยคำสอนจากบรรพบุรุษ ที่พวกท่านรับ และสอนต่อๆ กันมา และพวกท่านก็ทำสิ่งคล้ายๆ กันอีกหลายสิ่ง”(มาระโก 7:13)

          อ่าน 1 โครินธ์ 11:2 และ 2 เธสะโลนิกา 3:6 เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างพระวจนะของพระเจ้าและธรรมเนียมของมนุษย์ได้อย่างไร เหตุใดจึงสำคัญมากที่เราจะมองเห็นความแตกต่างให้ชัดเจน

          พระวจนะแห่งชีวิตของพระเจ้าที่เริ่มต้นในตัวเรา แสดงถึงความนับถือและท่าทีต่อพระวจนะนั้น ความสัตย์ซื่อนี้สร้างธรรมเนียมปฏิบัติขึ้น จำเป็นต้องมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงเผยพระทัยของพระองค์ในพระวจนะนั้น ดังนั้นพระคัมภีร์จึงเข้ามาแทนที่ธรรมเนียมของมนุษย์ทุกอย่าง พระคัมภีร์อยู่ในระดับที่สูงกว่า และอยู่เหนือธรรมเนียมของมนุษย์ทั้งปวง แม้ธรรมเนียมบางอย่างจะเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม เพราะธรรมเนียมเกิดจากประสบการณ์ของเราที่มีกับพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ จึงจำเป็นต้องผ่านการทดสอบจากพระคัมภีร์

          มีสิ่งใดที่เราทำในคริสตจักรที่เรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียม เพราะเหตุใดจึงควรให้ธรรมเนียมมีความสำคัญที่แตกต่างจากคำสอนของพระคัมภีร์ จงนำคำตอบไปอภิปรายในชั้นเรียนวันสะบาโต

_________________________________

April 20

วันจันทร์ 

ประสบการณ  Experience

          อ่านพระธรรมโรม 2:4 และ ทิตัส 3:4, 5 เรามีประสบการณ์เกี่ยวกับความดี ความอดกลั้น การให้อภัยความเมตตา และความรักของพระเจ้าอย่างไร เพราะเหตุใดจึงสำคัญที่ความเชื่อของเราไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ด้านสติปัญญาที่เป็นนามธรรมเท่านั้น แต่เป็นประสบการณ์จริง และในทางใดบ้างที่ประสบการณ์ของเราอาจขัดแย้งกับพระคัมภีร์ และเราไปสู่ความความเชื่อที่ผิดได้

          ประสบการณ์เป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตอยู่ ที่มีผลต่อความรู้สึกและความคิดที่มีพลัง พระเจ้าทรงออกแบบเรามาในลักษณะนั้น ให้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า นี่เป็นการเชื่อมโยงที่สำคัญและทรงให้ประสบการณ์เป็นตัวหล่อหลอมเรา

         เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เรามีประสบการณ์ความสัมพันธ์ที่งดงาม เหมือนผลงานศิลปะและดนตรี และความมหัศจรรย์ของสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้ พร้อมกับรู้สึกชื่นชมยินดีในความรอด และอำนาจแห่งพระวจนะของพระองค์ ศาสนาและความเชื่อของเราเป็นอะไรมากกว่าหลักคำสอนและเหตุผล ประสบการณ์ของเรามีความสำคัญเพราะหล่อหลอมทัศนะของเราที่มีต่อพระเจ้า และแม้แต่ความเข้าใจในพระวจนะของพระองค์ แต่เราจำเป็นต้องเห็นข้อจำกัดและความไม่เพียงพอของประสบการณ์ในการรู้จักพระทัยของพระเจ้า

         คำเตือนใน 2 โครินธ์11:1-3 บอกเราถึงข้อจำกัดของการไว้วางใจในประสบการณ์ของเราอย่างไร

         ประสบการณ์เป็นสิ่งลวงใจได้ จึงจำเป็นต้องมีขอบเขตที่ถูกต้อง ประ-สบการณ์ต้องอยู่ในเกณฑ์ คือสอดคลองกับพระคัมภีร์ และตีความหมายได้โดยพระคัมภีร์ บางครั้งเราต้องการมีประสบการณ์บางสิ่งที่ไม่กลมกลืนกับพระวจนะและน้ำพระทัย เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะไว้วางใจในพระวจนะของพระเจ้าที่อยู่เหนือประสบการณ์ และความปรารถนาของเรา เราควรเฝ้าระมัดระวังให้แน่ใจว่า ประสบการณ์ของเรากลมกลืนกับพระวจนะของพระเจ้า และไม่ขัดแย้งกับคำสอนอันชัดเจนของพระคัมภีร์

         การรักพระเจ้าและรักคนอื่น (ดู มาระโก 12:28-31) เป็นพระ-บัญญัติหลัก เป็นที่ชัดเจนว่าความเชื่อที่ได้จากประสบการณ์นั้นสำคัญ แต่เพราะเหตุใดจึงสำคัญที่จะต้องทดสอบประสบการณ์ด้วยพระวจนะของพระเจ้าด้วย

_________________________________

April 21

วันอ้งคาร   

วัฒนธรรม   Culture

           เราเป็นส่วนหนึ่งของแต่ละวัฒนธรรมหรือหลายวัฒนธรรม เราได้รับอิทธิพล และถูกหล่อหลอมโดยวัฒนธรรมเหล่านั้นเช่นกัน ไม่มีใครหนีพ้นสิ่งนี้ได้ คิดดูว่าชาวอิสราเอลในสมัยพระคัมภีร์เดิม พวกเขาถูกทำให้เสื่อมทรามไปโดยวัฒนธรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่รายล้อมพวกเขาอย่างไร มีอะไรทำให้เราในทุกวันนี้แตกต่างจากพวกเขาบ้าง หรือเราจะบอกว่าพวกเราอยู่ในสถานะที่ดีว่าพวกเขา พระวจนะของพระเจ้าทรงประทานให้ในวัฒนธรรมที่เจาะจง แม้ว่าจะไม่จำกัดอยู่กับวัฒนธรรมนี้โดยตรง เราไม่ควรสูญเสียการเห็นความจริงที่ว่า พระคัมภีร์อยู่เหนือวัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติของชนเผ่า และสถานะทางสังคม พระคัมภีร์จึงอยู่เหนือวัฒนธรรมของมนุษย์ และสามารถเปลี่ยนแปลง และแก้ไขส่วนประกอบที่เป็นความบาปที่พบในทุกวัฒนธรรม

         อ่านพระธรรม 1 ยอห์น 2:15-17 คำว่า “อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก” หมายความว่าอย่างไร และเราจะอยู่ในโลกโดยไม่รักโลกได้อย่างไร

       วัฒนธรรมก็เช่นเดียวกับสิ่งอื่นจากการทรงสร้างของพระเจ้าที่ได้รับผลจากความบาป คือตกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า บางลักษณะของวัฒนธรรมอาจถูกยกขึ้นอยู่ระดับดี แต่เราต้องระวัง ไม่ให้วัฒนธรรมต่อต้านความสัตย์ซื่อต่อพระวจนะของพระเจ้า ถ้าเรายึดบางสิ่งที่มาจากสิ่งที่อยู่เหนือเรา ในไม่ช้าเราจะเป็นฝ่ายแพ้กับสิ่งที่อยู่รายรอบตัวเรา เอลเลน จี. ไว้ท์ กล่าวว่า “ผู้ติดตามพระคริสต์จะต้องแยกห่างจากหลักการและความสนใจของโลก แต่พวกเขาไม่แยกตัวเขาเองไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวจากโลก พระผู้ช่วยให้รอดทรงคลุกคลีกับมนุษย์อย่างไม่หยุดหย่อนไม่ใช่หนุนใจพวกเขาในสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่เพื่อยกชูพวกเขาให้ขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น” (เอลเลน จี. ไว้ท์, Counsels to Parents, Teachers, and Students, หน้า 323)

        สิ่งใดในวัฒนธรรมของคุณที่ต่อต้านกับความเชื่อของพระคัมภีร์ เราจะยืนหยัดมั่นคงต่อต้านสิ่งนั้นเพื่อรักษาความเชื่อของเราให้มั่งคงได้อย่างไร

        อ่านพระธรรม 1 ยอห์น 2:15-17 คำว่า “อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก” หมายความว่าอย่างไร และเราจะอยู่ในโลกโดยไม่รักโลกได้อย่างไร

       วัฒนธรรมก็เช่นเดียวกับสิ่งอื่นจากการทรงสร้างของพระเจ้าที่ได้รับผลจากความบาป คือตกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า บางลักษณะของวัฒนธรรมอาจถูกยกขึ้นอยู่ระดับดี แต่เราต้องระวัง ไม่ให้วัฒนธรรมต่อต้านความสัตย์ซื่อต่อพระวจนะของพระเจ้า ถ้าเรายึดบางสิ่งที่มาจากสิ่งที่อยู่เหนือเรา ในไม่ช้าเราจะเป็นฝ่ายแพ้กับสิ่งที่อยู่รายรอบตัวเรา เอลเลน จี. ไว้ท์ กล่าวว่า “ผู้ติดตามพระคริสต์จะต้องแยกห่างจากหลักการและความสนใจของโลก แต่พวกเขาไม่แยกตัวเขาเองไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวจากโลก พระผู้ช่วยให้รอดทรงคลุกคลีกับมนุษย์อย่างไม่หยุดหย่อนไม่ใช่หนุนใจพวกเขาในสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่เพื่อยกชูพวกเขาให้ขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น” (เอลเลน จี. ไว้ท์, Counsels to Parents, Teachers, and Students, หน้า 323)

          สิ่งใดในวัฒนธรรมของคุณที่ต่อต้านกับความเชื่อของพระคัมภีร์ เราจะยืนหยัดมั่นคงต่อต้านสิ่งนั้นเพื่อรักษาความเชื่อของเราให้มั่งคงได้อย่างไร

 

___________________________________

 April 22

  วันพุธ 

เหตูผล   Reason

          อ่าน 2 โครินธ์ 10:5, 6; สุภาษิต 1:7; สุภาษิต 9:10 เพราะเหตุใดการเชื่อฟังพระคริสต์จึงมีความสำคัญมาก และเพราะเหตุใดการเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเป็นจุดเริ่มต้นของสติปัญญา

          พระเจ้าทรงให้เรามีความสามารถในการคิดหาเหตุผล การโต้เหตุผลด้านศาสนศาสตร์ทำให้เราทึกทักว่าเรามีความสามารถในการคิดและประมวลผลได้ เราไม่รับรองความเชื่อจากแสงสว่างที่ได้รับในศตวรรษที่ 18 อย่างไรก็ดีเหตุผลจากการสันนิษฐานสิ่งใหม่ของมนุษย์มีอิทธิพลต่อสังคมตะวันตกไกลเกินกว่าที่จะหาความถูกต้อง การเปรียบเทียบความคิดกับความรู้ทั้งหมดของ เราถูกวางไว้บนประสบการณ์ ในอีกทัศนะหนึ่งเกี่ยวกับเหตุผลของมนุษย์คือเรื่องเหตุผลนิยม ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่าความจริงไม่ใช่ความรู้สึก แต่เป็นการใช้สติปัญญาซึ่งได้รับมาจากการใช้เหตุผล กล่าวได้ว่า ความจริงบางประการที่มีอยู่และเหตุผลของเราเพียงอย่างเดียวสามารถนำไปสู่ความเข้าใจ สิ่งนี้ทำให้เหตุผลของมนุษย์เป็นตัวทดสอบและเป็นบรรทัดฐานของความจริง เหตุผลได้กลายเป็นสิทธิอำนาจใหม่ ซึ่งทุกสิ่งต้องยกให้ รวมไปถึงสิทธิอำนาจของคริสตจักรด้วย และที่มากกว่านั้นคือ แม้แต่สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า ก็ถูกมนุษย์โยนทิ้งไป เพราะไม่เข้ากับหลักการของมัน ท่าทีเช่นนี้ส่งผลต่อพระคัมภีร์ในวงกว้าง การอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ เช่น การฟื้นพระชนม์ของพระเยซู การบังเกิดจากหญิงพรหมจารี หรือแม้แต่การสร้างโลกในหกวัน ล้วนไม่ได้รับการยอมรับว่าจริง การให้เหตุผลของเราว่า ได้รับผลจากความบาป และต้องการนำไปอยู่ภายใต้การปกครองของพระคริสต์ มีข้อพระคัมภีร์กล่าวว่า “ความคิดของเขาทั้งหลายถูกทำให้มืดมนไป และเขาขาดจากชีวิตที่มาจากพระเจ้า เนื่องจากความไม่รู้ที่อยู่ในตัว และความแข็งกระด้างในจิตใจ” (เอเฟซัส 4:18) เราต้องการทำให้เกิดความสว่างโดยพระวจนะจากพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง เหตุผลของมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นบางสิ่งที่ทำงานได้อย่างอิสระหรือเป็นเครื่องอัตโนมัติ แต่ทรงสอนว่า “ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา” (สุภาษิต 9:10 เปรียบเทียบกับ สุภาษิต 1:7) เมื่อเรารับการเปิดเผยของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ให้มีอำนาจสูงสุดในชีวิตของเรา และเต็มใจที่จะปฏิบัติตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ เราจะสามารถให้เหตุผลได้ถูกต้อง

          หลายศตวรรษมาแล้ว โธมัส เจฟเฟอสัน ประธานาธิบดีคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ได้สร้างพระคัมภีร์ฉบับใหม่ของเขาขึ้น ด้วยการตัดสิ่งที่เขาเห็นว่าขัดกับเหตุผล เช่น การอัศจรรย์เกือบทั้งหมดของพระเยซู รวมถึงการฟื้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย สิ่งนี้บ่งบอกถึงข้อจำกัดของมนุษย์ในการเข้าใจความจริงอย่างไร

____________________________________

April 23

วันพฤหัสบดี   พระคัมภีร์

                                  The Bible

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงเปิดเผยและดลใจให้เขียนพระคัมภีร์ จะไม่ทรงนำเราให้ขัดแย้งกับพระวจนะหรือหลงผิดจากพระวจนะของพระเจ้า สำหรับเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส พระคัมภีร์มีอำนาจสิทธิ์ขาดสูงกว่าธรรมเนียมประเพณี ประสบการณ์ เหตุผล และวัฒนธรรมของมนุษย์ พระคัมภีร์เป็นมาตรฐานเดียวที่ใช้ตรวจสอบสิ่งอื่น

อ่านพระธรรมยอห์น 5:46, 47 และ ยอห์น 7:38 สำหรับพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์คือแหล่งสุดท้ายเพื่อความเข้าใจในเรื่องจิตวิญญาณ พระคัมภีร์กล่าวยืนยันว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ตัวจริง

           มีคนอ้างว่าได้รับ “การเปิดเผยพิเศษ” และได้รับ “คำสั่ง” จากพระ-วิญญาณบริสุทธิ์ แต่คำอ้างดังกล่าวขัดกับข่าวสารที่ชัดเจนจากพระคัมภีร์ สำหรับพวกเขาพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้รับสิทธิอำนาจสูงกว่าพระวจนะของพระเจ้า ใครก็ตามที่ทำให้พระวจนะที่ได้รับการดลใจให้เขียนไว้เป็นสิ่งที่ไร้ค่า หรือเป็นโมฆะ โดยหลบ หรือเลี่ยงข่าวสารของพระคัมภีร์ เท่ากับเขากำลังเดินอยู่ในที่อันตราย และไม่ได้ติดตามการทรงนำของพระวิญญาณของพระเจ้า พระคัมภีร์เป็นเครื่องป้องกันที่มีมาตรฐานเป็นที่ไว้ใจได้สำหรับความเชื่อและการปฏิบัติ “ผ่านทางพระคัมภีร์ พระวิญญาณบริสุทธิ์พูดกับดวงจิต และทรงทำให้ความจริงประทับใจ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเผยให้เห็นสิ่งที่ผิด และขับไล่สิ่งนั้นออกไปจากดวงวิญญาณ โดยพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งทำงานผ่านพระวจนะของพระเจ้า พระคริสต์ทรงเอาชนะคนที่พระองค์ทรงเลือกไว้ให้มาหาพระองค์เอง” (เอลเลน จี. ไว้ท์, ผู้พึงปรารถนาแห่งปวงชน, หน้า 671) พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เคยทำให้เราเข้าใจว่า พระองค์จะเข้ามาแทนที่พระวจนะของพระเจ้า แต่พระวิญญาณทรงทำงานสอดคล้องกับพระคัมภีร์ และผ่านทางพระคัมภีร์ ทรงโน้มนำเราไปหาพระคริสต์ ทรงทำให้พระคัมภีร์เป็นมาตรฐานแท้จริงด้านจิตวิญญาณ พระคัมภีร์บรรจุ “ด้วยถ้อยคำแห่งความเชื่อ และหลักคำสอนอันดี” (ดู 1 ทิโมธี 4:6) พระวจนะของพระเจ้านั้นน่าเชื่อถือ จึงสมควรกับการยอมรับอย่างเต็มๆ ไม่ใช่ภารกิจของเราที่จะนั่งลงและพิพากษาพระ-คัมภีร์ แต่เราควรให้พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจในการตัดสินการกระทำและความคิดของเรา ทั้งนี้เพราะพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ได้รับการเขียนไว้

          เพราะเหตุใดพระคัมภีร์จึงเป็นเครื่องนำทางที่ปลอดภัยสำหรับจิตวิญญาณมากกว่าความคิดเห็นในใจ จะมีผลอะไรตามมาถ้าเราไม่ยอมรับพระคัมภีร์เป็นมาตรฐานในการตรวจสอบสิ่งอื่นๆ และถ้าการเปิดเผยส่วนตัวเป็นคำตอบสุดท้ายที่ถูกต้อง เพราะเหตุใดสิ่งนี้จึงมีแต่นำไปสู่ความวุ่นวายเท่านั้น

 

 

_______________________________________

April 24

วันศุกร์

ศึกษาเพิ่มเติม:

อ่านจากหนังสือของ เอลเลน จี. ไว้ท์, พระคัมภีร์เป็นเครื่องป้องกัน,สงครามแห่งประวัติศาสตร์, หน้า 593-602

ธรรมเนียมประเพณี ประสบการณ์ วัฒนธรรม เหตุผล และพระคัมภีร์ทั้งปวงปรากฏอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า คำถามคือ สิ่งใดมีน้ำหนักมากที่สุด และเป็นแหล่งแห่งสิทธิอำนาจสูงสุดในหลักศาสนศาสตร์ของเรา นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ให้การรับรองพระคัมภีร์ แต่ทุกสิ่งยกให้พระคัมภีร์ โดยพันธกิจของพระ-วิญญาณบริสุทธิ์ในการเปลี่ยนชีวิต การรับรู้ วัฒนธรรม ประสบการณ์ เหตุผล และแม้แต่ธรรมเนียมประเพณี สิ่งอื่นอาจกลายเป็นปัญหาเมื่อขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์ เมื่อเราให้สิ่งเหล่านี้นำพระวจนะของพระเจ้า ประวัติศาสตร์บันทึกไว้หลายครั้ง ที่ผู้เชื่อในพระเจ้าละทิ้งความเชื่อทั้งในสมัยพระคัมภีร์เดิม และพระคัมภีร์ใหม่ เมื่ออิทธิพลจากภายนอกได้รับความสำคัญมากกว่าการเปิดเผยจากพระเจ้า44 การตีความหมายพระคัมภีร์

 

คำถามเพื่อการอภิปราย:

1. เพราะเหตุใดจึงเป็นการง่ายกว่าที่จะยกย่องธรรมเนียมบางอย่าง ของมนุษย์ขึ้นสูงกว่าการดำรงชีวิตตามพระบัญญัติของพระเจ้า คือ “รักองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราด้วยสุดใจ ด้วยสุดจิต และสุด ความคิด และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” (ดู มัทธิว 22:37-40)

2. อภิปรายคำตอบของคำถามข้อสุดท้ายในวันอาทิตย์ ที่ถามว่า ธรรมเนียมควรมีบทบาทเช่นไรในคริสตจักร

3. เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าธรรมเนียมประเพณี ไม่ว่าจะดีเพียงใด ก็จะไม่เข้ามาแทนที่พระวจนะของพระเจ้าที่เป็นบรรทัดฐานและ สิทธิอำนาจสูงสุดได้

4. ถ้ามีใครในคริสตจักรอ้างว่าได้รับความฝันที่พระเจ้าตรัสกับเขา ว่าวันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อนและวันนมัสการที่แท้จริงในสมัย พระคัมภีร์ใหม่ คุณจะตอบสนองอย่างไร และมีอะไรเป็นเครื่อง ทดสอบ

5. มีวัฒนธรรมอะไรที่สมาชิกของคริสตจักรยึดติดมาก วัฒนธรรม นั้นมีผลต่อความเชื่ออย่างไร และมีตัวอย่างอะไรในประวัติศาสตร์ ที่ช่วยให้เราสามารถเห็นผลร้ายและระวังตัวไม่ให้ผิดซ้ำได้